คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องซ้ำ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,459 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2684/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน/ฟ้องซ้ำ: ข้อพิพาทต่างคราวกัน แม้ทรัพย์สินบางส่วนเป็นของเดิม ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีตามยอมแล้ว การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 600/2537 ของศาลชั้นต้นเพราะเป็นมูลคดีพิพาทเดียวกันอันเกิดจากการรับซื้อทรัพย์พิพาททั้งสองคดีเหมือนกัน และคดีดังกล่าวโจทก์ได้ฟ้องจำเลยไว้ก่อนคดีนี้ และขณะฟ้องคดีนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นนอกจากนี้พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาธนบุรีเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 813/2536 ในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร โดยขอให้ศาลสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 360,000 บาท แก่โจทก์คดีนี้ด้วย และศาลอาญาธนบุรีอนุญาตให้โจทก์คดีนี้ในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ ในที่สุดศาลอาญาธนบุรีได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงถือได้ว่าศาลอาญาธนบุรีได้มีคำพิพากษาชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีในส่วนแพ่งสิ้นสุดเด็ดขาดแล้วฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำนั้น เป็นการอุทธรณ์ว่าฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำและฟ้องซ้อนกับคดีอื่น อันเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลชั้นต้นละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 138 (2) ซึ่งจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ได้ ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยนั้นจึงเป็นการไม่ชอบ
ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 600/2537 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมยี่ห้อจูกิ 12 เครื่อง จักรพ้งอุตสาหกรรมยี่ห้อซีรูบ้า 4 เครื่อง และเครื่องตัดผ้าอุตสาหกรรม 2 เครื่อง ของโจทก์ที่ลูกจ้างของโจทก์นำไปขายให้แก่จำเลย ซึ่งพนักงานสอบสวนยังไม่ได้ยึดคืนมาจากจำเลยส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนจักรพ้งอุตสาหกรรมยี่ห้อซีรูบ้าของโจทก์อีก2 เครื่อง ที่พนักงานสอบสวนยึดได้จากจำเลยเป็นของกลาง แต่จำเลยได้ติดต่อขอรับคืนไปจากพนักงานสอบสวน ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4052/2536 ภายหลังจากศาลอาญาธนบุรีพิพากษายกฟ้องแล้ว จักรพ้งอุตสาหกรรมยี่ห้อซีรูบ้า ในคดีนี้กับจักรพ้งอุตสาหกรรมในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 600/2537 ของศาลชั้นต้น เป็นทรัพย์ต่างรายกัน ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีไม่ใช่ประเด็นเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 600/2537 ของศาลชั้นต้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ขึ้นใหม่ภายหลังจากที่ศาลอาญาธนบุรีพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4052/2536 แล้วโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าจักรพ้งอุตสาหกรรมยี่ห้อซีรูบ้า 2 เครื่อง ในคดีนี้ที่พนักงานสอบสวนได้ยึดไว้เป็นของกลางนั้นเป็นของโจทก์ แต่จำเลยยังติดต่อขอรับเอาจักรพ้งอุตสาหกรรมดังกล่าวไปจากพนักงานสอบสวน เป็นการกระทำต่างคราวกันกับที่จำเลยถูกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4052/2536 ของศาลอาญาธนบุรี ในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรจักรพ้งอุตสาหกรรมดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2684/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน-ฟ้องซ้ำ: การฟ้องบังคับคดีทรัพย์ที่ถูกยึดหลังคดีอาญาถึงที่สุด ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อน
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลพิพากษาไปตามยอมจำเลยย่อมอุทธรณ์ได้ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำและฟ้องซ้อนกับคดีอื่นเพราะเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาตามยอมละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา138วรรคสอง(2) เดิมโจทก์ได้ฟ้องจำเลยขอให้คืนทรัพย์ที่ลูกจ้างของโจทก์นำไปขายให้แก่จำเลยซึ่งพนักงานสอบสวนยังไม่ได้ยึดคืนมาจากจำเลยส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนทรัพย์อีกส่วนหนึ่งที่พนักงานสอบสวนยึดมาจากจำเลยเป็นของกลางแต่จำเลยติดต่อขอรับคืนไปจากพนักงานสอบสวนหลังจากที่ศาลในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องว่าลักทรัพย์หรือรับของโจทก์ได้พิพากษายกฟ้องทรัพย์ที่โจทก์ขอให้คืนในคดีนี้กับคดีก่อนต่างรายกันและประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีไม่ใช่ประเด็นเดียวกันจึงไม่เป็นฟ้องซ้อน คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ขึ้นใหม่หลังศาลในคดีอาญาพิพากษาแล้วโดยจำเลยรู้อยู่ว่าทรัพย์ในคดีนี้ที่พนักงานสอบสวนยึดไว้เป็นของโจทก์แต่ก็ยังติดต่อขอรับไปจากพนักงานสอบสวนเป็นการกระทำต่างคราวกับที่จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2684/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน-ฟ้องซ้ำ: การพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ละเมิดกฎหมาย และข้อพิพาทไม่ซ้ำกับคดีอื่น
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลชั้นต้นพิพากษาคดีตามยอมแล้วการที่จำเลยอุทธรณ์ว่าฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่600/2537ของศาลชั้นต้นเพราะเป็นมูลคดีพิพาทเดียวกันอันเกิดจากการรับซื้อทรัพย์พิพาททั้งสองคดีเหมือนกันและคดีดังกล่าวโจทก์ได้ฟ้องจำเลยไว้ก่อนคดีนี้และขณะฟ้องคดีนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นนอกจากนี้พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลอายาธนบุรีเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่813/2536ในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรโดยขอให้ศาลสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน360,000บาทแก่โจทก์คดีนี้ด้วยและศาลอาญาธนบุรีอนุญาตให้โจทก์คดีนี้ในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในที่สุดศาลอาญาธนบุรีได้พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงถือได้ว่าศาลอาญาธนบุรีได้มีคำพิพากษาชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีในส่วนแพ่งสิ้นสุดเด็ดขาดแล้วฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำนั้นเป็นการอุทธรณ์ว่าฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำและฟ้องซ้อนกับคดีอื่นอันเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลชั้นต้นละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา138(2)ซึ่งจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ได้ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยนั้นจึงเป็นการไม่ชอบ ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่600/2537ของศาลชั้นต้นโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมยี่ห้อจูกิ12เครื่องจักรพ้งอุตสาหกรรมยี่ห้อซีรูบ้ 4เครื่องและเครื่องตัดผ้าอุตสาหกรรม2เครื่องของโจทก์ที่ลูกจ้างของโจทก์นำไปขายให้แก่จำเลยซึ่งพนักงานสอบสวนยังไม่ได้ยึดคืนมาจากจำเลยส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนจักรพ้งอุตสาหกรรมยี่ห้อซีรูบ้าของโจทก์อีก2เครื่องที่พนักงานสอบสวนยึดได้จากจำเลยเป็นของกลางแต่จำเลยได้ติดต่อขอรับคืนไปจากพนักงานสอบสวนในคดีอายาหมายเลขแดงที่4052/2536ภายหลังจากศาลอาญาธนบุรีพิพากษายกฟ้องแล้วจักรพ้งอุตสาหกรรมยี่ห้อซีรูบ้า ในคดีนี้กับจักรพ้งอุตสาหกรรมในคดีแพ่งหมายเลขดำที่600/2537ของศาลชั้นต้นเป็นทรัพย์ต่างรายกันประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีไม่ใช่ประเด็นเดียวกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่600/2537ของศาลชั้นต้น คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ขึ้นใหม่ภายหลังจากที่ศาลอาญาธนบุรีพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่4052/2536แล้วโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าจักรพ้งอุตสาหกรรมยี่ห้อซีรูบ้า 2เครื่องในคดีนี้ที่พนักงานสอบสวนได้ยึดไว้เป็นของกลางนั้นเป็นของโจทก์แต่จำเลยยังติดต่อขอรับเอาจักรพ้งอุตสาหกรรมดังกล่าวไปจากพนักงานสอบสวนเป็นการกระทำต่างคราวกันกับที่จำเลยถูกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่4052/2536ของศาลอาญาธนบุรีในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรจักรพ้งอุตสาหกรรมดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องครอบครองปรปักษ์ซ้ำซ้อน ศาลยกฟ้องตามหลักการห้ามฟ้องซ้ำ
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่ 5 เมษายน 2484 บ. ด้วยความยินยอมของ จ.เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์ โดย บ.ยอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่ 1841 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 1842ของโจทก์และ บ.ด้วยความรู้เห็นยินยอมของ จ.ยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ใน พ.ศ.2499 โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่ 234 สูง 5 ชั้น ชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่ 419 ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่ 214/4 และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์2 ชั้น รวม 7 คูหา โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้น ขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษายกฟ้อง โจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 419เฉพาะส่วนปลูกตึก 5 ชั้น และเรือนไม้เลขที่ 234 และตึกแถวเลขที่ 214/4 ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอน แม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วย ซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์ โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำประเด็นครอบครองปรปักษ์ แม้มีประเด็นอื่นเพิ่มเติม ศาลฎีกาพิจารณาแล้วว่าฟ้องซ้ำต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่ 5 เมษายน 2484 บ.ด้วยความยินยอมของ จ. เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์ โดย บ.ยอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่1841 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 1842 ของโจทก์และบ. ด้วยความรู้เห็นยินยอมของ จ. ยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ใน พ.ศ. 2499 โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่234 สูง 5 ชั้น ชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่419 ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่ 214/4 และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น รวม 7 คูหา โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้น ขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่419 พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษายกฟ้อง โจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 419 เฉพาะส่วนปลูกตึก5 ชั้น และเรือนไม้เลขที่ 234 และตึกแถวเลขที่ 214/4ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอน แม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์ โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำประเด็นครอบครองปรปักษ์ แม้มีประเด็นเพิกถอนนิติกรรมเกี่ยวข้อง ศาลยกฟ้องตามมาตรา 148
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่5เมษายน2484บ.ด้วยความยินยอมของจ. เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์โดยบ.ยอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่1841กับที่ดินโฉนดเลขที่1842ของโจทก์และบ. ด้วยความรู้เห็นยินยอมของจ. ยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า10ปีแล้วในพ.ศ.2499โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่234สูง5ชั้นชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่419ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่214/4และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์2ชั้นรวม7คูหาโจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้นขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษายกฟ้องโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่419เฉพาะส่วนปลูกตึก5ชั้นและเรือนไม้เลขที่234และตึกแถวเลขที่214/4ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอนแม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำประเด็นครอบครองปรปักษ์ แม้มีประเด็นเพิกถอนนิติกรรมเกี่ยวเนื่อง ศาลฎีกาตัดสินฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่5เมษายน2484บ. ด้วยความยินยอมของจ. เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์โดยบ.ยอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่1841กับที่ดินโฉนดเลขที่1842ของโจทก์และบ. ด้วยความรู้เห็นยินยอมของจ. ยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า10ปีแล้วในพ.ศ.2499โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่234สูง5ชั้นชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่419ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่214/4และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์2ชั้นรวม7คูหาโจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้นขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษายกฟ้องโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่419เฉพาะส่วนปลูกตึก5ชั้นและเรือนไม้เลขที่234และตึกแถวเลขที่214/4ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอนแม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2083/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำความผิดอาวุธปืน: กรรมเดียวจบเมื่อมีคำพิพากษาแล้ว, แต่ความผิดพาอาวุธปืนติดตัวเป็นต่างกรรมกัน
การกระทำผิดของจำเลยฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตทั้งในครั้งก่อนและครั้งหลังเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันตลอดมาตราบใดที่ยังคงครอบครองอาวุธปืนกระบอกเดียวกันและเครื่องกระสุนปืนรายเดียวกันก็เป็นการกระทำกรรมเดียวกันเมื่อศาลพิพากษาลงโทษการกระทำในครั้งหลังแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิจะนำคดีการกระทำผิดครั้งแรกมาฟ้องอีกเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(4) ส่วนข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวเป็นการกระทำต่างกรรมกันเพราะเจตนาในการกระทำผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะในแต่ละครั้งย่อมเป็น ความผิดในตัวของมันเองศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้แม้ในคดีก่อนศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้มาแล้วก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำในประเด็นที่เคยวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการฟ้องครั้งหลังไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องซ้ำ
ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินมีการแบ่งที่ดินที่ซื้อขายกันเป็น3 ส่วน ตามสัญญา ข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 ตามลำดับ และมีข้อตกลงกับเงื่อนไขในการซื้อขายของที่ดินแต่ละส่วนแยกต่างหากจากกันตามข้อสัญญาแต่ละข้อดังกล่าวโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างในคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ซึ่งเกี่ยวกับที่ดิน น.ส.3โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลง คดีมีประเด็นในคดีว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ส่วนคดีแพ่งเรื่องเดิมแม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 แต่เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาข้อ 2 คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็น และศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้วเพราะฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ดังนี้ผลก็คือศาลฎีกายังมิได้วินิจฉัยในคดีเดิมว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องในคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผิดสัญญา แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย การฟ้องใหม่จึงไม่เป็นการรื้อฟ้อง
ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินมีการแบ่งที่ดินที่ซื้อขายกันเป็น 3 ส่วน ตามสัญญา ข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 ตามลำดับ และมีข้อตกลงกับเงื่อนไขในการซื้อขายของที่ดินแต่ละส่วนแยกต่างหากจากกันตามข้อสัญญาแต่ละข้อดังกล่าว โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างในคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ซึ่งเกี่ยวกับที่ดิน น.ส.3 โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลง คดีมีประเด็นในคดีว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ส่วนคดีแพ่งเรื่องเดิมแม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2แต่เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาข้อ 2 คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็นและศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้วเพราะฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ดังนี้ ผลก็คือศาลฎีกายังมิได้วินิจฉัยในคดีเดิมว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องในคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
of 146