คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สัญญาเช่าซื้อ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 486 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ: สิทธิเลิกสัญญาของผู้เช่าซื้อเมื่อผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญา และการหักค่าเช่าออกจากเงินค่าเช่าซื้อที่ต้องคืน
แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 573 จะเป็นบทบัญญัติให้สิทธิผู้เช่าซื้อเลิกสัญญาในกรณีที่ไม่มีการผิดนัดผิดสัญญา แต่เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญาเพราะไม่จัดการแก้ไขให้ทรัพย์ที่ให้เช่าซื้ออยู่ในสภาพที่ใช้งานได้จำเลยก็มีสิทธิเลิกสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 387 ได้
เมื่อจำเลยผู้เช่าซื้อใช้สิทธิเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 387 แล้ว การชำระหนี้อันเกิดแต่การเลิกสัญญา มาตรา 392 บัญญัติให้เป็นไปตามมาตรา 369 และคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจึงต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามมาตรา 391 โจทก์ต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับคืนให้แก่จำเลยแต่เงินค่าเช่าซื้อมิใช่ราคาทรัพย์อย่างเดียว หากแต่เป็นค่าเช่ารวมอยู่ด้วย ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับค่าเช่าในระหว่างที่จำเลยครอบครองและใช้ประโยชน์ในทรัพย์ที่เช่าซื้ออยู่จึงต้องหักค่าเช่าออกจากจำนวนค่าเช่าซื้อที่ต้องคืนจำเลยให้โจทก์เสียก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1928/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อและการบอกเลิกสัญญา: สิทธิในการคืนเงินและข้อจำกัดในการหักค่าเสียหาย
โจทก์ทำสัญญาจะโอนสิทธิการเช่าตึกแถวให้จำเลยเมื่อจำเลยชำระเงินค่าสิทธิการเช่างวดสุดท้ายแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระเงินงวดสุดท้าย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาซึ่งก็ต้องให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิมและต้องคืนเงินที่รับไว้แล้วให้แก่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิริบเงินจำนวนดังกล่าว จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งเรียกเงินจำนวนดังกล่าวได้ ค่าเสียหายที่โจทก์ขอให้นำมาหักจากเงินที่ต้องคืนให้แก่จำเลยเป็นค่าเสียหายที่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกจากจำเลยในคดีนี้ และมิได้ให้การแก้ฟ้องแย้งในเรื่องค่าเสียหายดังกล่าวและขอหักไว้ จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แก้ไขฟ้องเพิ่มฐานความผิดได้หากประเด็นไม่เปลี่ยน และการส่งมอบทรัพย์สินเช่าซื้อที่ทำไม่ได้เนื่องจากกรรมสิทธิ์เปลี่ยนไป
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ โดยบรรยายฟ้องว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน จำเลยยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืน แก่โจทก์ ถ้าไม่ส่งมอบจำเลยยอมชำระค่าเสียหายที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์ที่ควรจะได้ ซึ่งคำบรรยายฟ้องดังกล่าวตรงตามข้อตกลง ในสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น เมื่อโจทก์ขอแก้ไขฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จำเลยไม่ส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนภายหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว จึงเป็นค่าเสียหายอันเกิดจากข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อมิใช่แก้ไขให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดดังที่จำเลยฎีกา การแก้ไขฟ้อง ของโจทก์จึงเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องให้บริบูรณ์และเกี่ยวข้อง กับฟ้องเดิม ทั้งมิได้ทำให้ประเด็นแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปศาลชั้นต้น อนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้องจึงชอบแล้ว โจทก์เช่าที่ดินของ ท. เพื่อปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างแล้วนำไปให้จำเลยเช่าซื้อ ตามสัญญาเช่าซื้อโจทก์จะโอนสิ่งปลูกสร้างและสิทธิการเช่าที่ดินให้จำเลยในวันที่จำเลยชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้าย เมื่อจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อและมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อกันเสียก่อน จำเลยยังมิได้รับโอนสิทธิการเช่าไปจากโจทก์ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยยังครอบครองสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินในสิ่งปลูกสร้างนั้นอยู่ และหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเจ้าของที่ดินได้ขายที่ดินให้บุคคลอื่นไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะนำสิ่งปลูกสร้างกับทรัพย์สินที่อยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เช่าซื้อมาส่งมอบให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แก้ไขฟ้องเพิ่มเติม ไม่เปลี่ยนแปลงประเด็นเดิม และการส่งมอบทรัพย์สินที่ไม่อาจทำได้จริง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ โดยบรรยายฟ้องว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน จำเลยยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ ถ้าไม่ส่งมอบจำเลยยอมชำระค่าเสียหายที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์ที่ควรจะได้ ซึ่งคำบรรยายฟ้องดังกล่าวตรงตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น เมื่อโจทก์ขอแก้ไขฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จำเลยไม่ส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนภายหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วจึงเป็นค่าเสียหายอันเกิดจากข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ มิใช่แก้ไขให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดดังที่จำเลยฎีกา การแก้ไขฟ้องของโจทก์จึงเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องให้บริบูรณ์และเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ทั้งมิได้ทำให้ประเด็นแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้องจึงชอบแล้ว
โจทก์เช่าที่ดินของ ท. เพื่อปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างแล้วนำไปให้จำเลยเช่าซื้อ ตามสัญญาเช่าซื้อโจทก์จะโอนสิ่งปลูกสร้างและสิทธิการเช่าที่ดินให้จำเลยในวันที่จำเลยชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้าย เมื่อจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อและมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อกันเสียก่อน จำเลยยังมิได้รับโอนสิทธิการเช่าไปจากโจทก์ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยยังครอบครองสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินในสิ่งปลูกสร้างนั้นอยู่และหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน เจ้าของที่ดินได้ขายที่ดินให้บุคคลอื่นไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะนำสิ่งปลูกสร้างกับทรัพย์สินที่อยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เช่าซื้อมาส่งมอบให้แก่โจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 58/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับสัญญาเช่าซื้อสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดค่าเสียหายได้
สัญญาเช่าซื้อ ข้อ 10 ระบุให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญา และผู้ให้เช่าซื้อนำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้ หากได้ราคาไม่คุ้มกับค่าเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในส่วนที่ขาด ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายล่วงหน้า ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญา ถือว่าเป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่ง ดังนั้น เมื่อจำเลยเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์เป็นเงิน884,016 บาท กำหนดชำระค่าเช่าซื้อ 48 เดือน เดือนละ 18,417 บาทแต่จำเลยชำระค่าเช่าซื้อได้เพียง 6 งวด ก็ผิดสัญญา โจทก์เรียกร้องเอาเงินจำนวน 353,298 บาท ที่ขาดจำนวนตามราคาเต็มในสัญญาเช่าซื้อหลังจากนำรถยนต์ขายทอดตลาดแล้ว โดยที่จำเลยมิได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้อ จึงเป็นการเรียกร้องค่าปรับที่สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดค่าปรับลงเป็นจำนวนตามที่เห็นสมควรได้.(ที่มา-เนติ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อผิดนัด ค่าเสียหายเบี้ยปรับ การลดเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน และการสืบพยานเพื่อพิสูจน์ความเสียหาย
ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากผู้เช่าซื้อผิดสัญญา เงินที่ชำระแล้วทั้งหมดจะถูกริบและต้องส่งคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อย หากไม่ส่งคืนจนต้องดำเนินการยืดทรัพย์ออกขาย เงินขาดอยู่เท่าใด ผู้เช่าซื้อต้องชำระจนครบ ข้อสัญญานี้เป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ดังนั้นจึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าเสียหายก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อผิดนัด การกำหนดค่าเสียหาย (เบี้ยปรับ) และการสืบพยานเพื่อพิสูจน์ความเสียหาย
ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากผู้เช่าซื้อผิดสัญญา เงินที่ชำระแล้วทั้งหมดจะถูกริบและต้องส่งคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อย หากไม่ส่งคืนจนต้องดำเนินการยืดทรัพย์ออกขายเงินขาดอยู่เท่าใด ผู้เช่าซื้อต้องชำระจนครบ ข้อสัญญานี้เป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ดังนั้นจึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าเสียหายก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3408/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการถือเอาสาระสำคัญของสัญญาเช่าซื้อ การบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สัญญาเช่าซื้อระบุว่า การชำระค่าเช่าซื้อตรงตามกำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญของสัญญา ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดต่อกันหรือผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่สองงวดขึ้นไป ให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันยกเลิกเพิกถอนทันที แต่ในทางปฏิบัติเมื่อจำเลยผู้เช่าซื้อมิได้ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ตรงตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาตลอดมา โจทก์ก็ยอมรับชำระโดยมิได้อิดเอื้อน จึงเห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะถือเอากำหนดเวลาตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญหากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลย โจทก์ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 กล่าวคือต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้องวดที่ติดค้างอยู่ต่อเมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อภายในระยะเวลาที่กำหนดนั้นโจทก์จึงจะบอกเลิกสัญญาได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3408/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาของคู่สัญญาสำคัญกว่าข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ แม้มีข้อกำหนดให้สัญญาเลิกได้ทันที หากมีการยอมรับชำระโดยไม่โต้แย้ง
สัญญาเช่าซื้อระบุว่า การชำระค่าเช่าซื้อตรงตามกำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญของสัญญา ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดต่อกันหรือผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่สองงวดขึ้นไป ให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันยกเลิกเพิกถอนทันที แต่ในทางปฏิบัติเมื่อจำเลยผู้เช่าซื้อมิได้ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ตรงตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาตลอดมา โจทก์ก็ยอมรับชำระโดยมิได้อิดเอื้อน จึงเห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะถือเอากำหนดเวลาตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญหากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลย โจทก์ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 กล่าวคือต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้องวดที่ติดค้างอยู่ต่อเมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อภายในระยะเวลาที่กำหนดนั้นโจทก์จึงจะบอกเลิกสัญญาได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้องหลังรับฟ้อง & ความรับผิดของหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดในสัญญาเช่าซื้อ
ในชั้นยื่นคำฟ้อง แม้ทนายความ ซึ่ง อ. เป็นผู้แต่ง ตั้งให้เป็นทนายความของโจทก์จะได้ลงชื่อในคำฟ้องในฐานะโจทก์ โดยโจทก์มิได้มอบอำนาจให้ อ. ฟ้องจำเลยและดำเนินคดีแทนโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้ตรวจและมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้ และจำเลยได้ยื่นคำให้การแล้ว ซึ่งเป็นกรณีล่วงเลยชั้นตรวจรับฟ้อง จึงนำป.วิ.พ. มาตรา 18 มาใช้บังคับไม่ได้ เมื่อไม่มีการชี้ สองสถานโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องก่อนวันสืบพยานโจทก์เป็นว่ามอบอำนาจให้ อ. เป็นผู้ฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ ศาลย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้ ซึ่งมีผลทำให้ฟ้องที่ไม่สมบูรณ์กลับเป็นฟ้องที่สมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก ทั้งนี้อาศัยอำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 66ซึ่งให้อำนาจศาลไว้ว่า ถ้า มีผู้อ้างว่าเป็นผู้แทนของนิติบุคคลเมื่อศาลเห็นสมควรก็สอบสวนได้เป็นอำนาจที่กฎหมายให้ไว้แก่ศาลโดยกว้างขวาง เมื่อใดศาลเห็นว่าผู้นั้นไม่มีอำนาจดัง ที่อ้างหรืออำนาจบกพร่อง ศาลย่อมมีอำนาจยกฟ้อง หรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างอื่นได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้เข้าทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ในนามของห้างจำเลยที่ 1 โดยลงชื่อตนเองและประทับตราของห้างจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของจำเลยที่ 1 แล้ว ส่วนห้างจำเลยที่ 1 นั้นได้ยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อให้โจทก์ถึง 4 งวด โดยมิได้ท้วงติงแต่ประการใด จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์เมื่อห้างจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 2จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัวตามป.พ.พ. มาตรา 1088.
of 49