พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,865 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้จากการนำเช็คไปแลกเงินสดและการรับสภาพหนี้
จำเลยมีเจตนาก่อหนี้ด้วยวิธีนำเช็คไปแลกเงินสด อันเป็นเอกเทศสัญญาชนิดหนึ่งที่ใช้บังคับได้ เมื่อโจทก์ได้รับชำระเงินแต่เพียงบางส่วนจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ให้จนครบ หนี้อันเกิดจากนำเช็คไปแลกเงินสดกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความสิบปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 164เดิม ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ ปรากฏว่าจำเลยชำระหนี้เป็นบางส่วนแก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2534 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2536 ภายในอายุความสิบปีสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ที่จำเลยฎีกาว่า การนำเช็คไปแลกเงินสดไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรง ทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะยกขึ้นปรับแก่คดีได้ จึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง คือกฎหมายลักษณะกู้ยืม เมื่อการนำเช็คไปแลกเงินสดมีจำนวนเงินเกินกว่า 50 บาท มิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยไว้เป็นสำคัญ โจทก์จะฟ้องร้องให้จำเลยรับผิดหาได้ไม่นั้น จำเลยให้การว่า โจทก์บรรยายฟ้องเป็นเรื่องการนำเช็คไปแลกเงินสด ไม่ใช่เรื่องการกู้ยืมหรือผิดสัญญาซึ่งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ดังนั้น ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่า การนำเช็คไปแลกเงินสดไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรง ทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะยกขึ้นปรับแก่คดีได้ จึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง คือกฎหมายลักษณะกู้ยืม เมื่อการนำเช็คไปแลกเงินสดมีจำนวนเงินเกินกว่า 50 บาท มิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยไว้เป็นสำคัญ โจทก์จะฟ้องร้องให้จำเลยรับผิดหาได้ไม่นั้น จำเลยให้การว่า โจทก์บรรยายฟ้องเป็นเรื่องการนำเช็คไปแลกเงินสด ไม่ใช่เรื่องการกู้ยืมหรือผิดสัญญาซึ่งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ดังนั้น ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5018/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเช็ค: การบรรยายฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ราคาค่าที่ดินให้แก่โจทก์ ตามภาพถ่ายสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเอกสารท้ายฟ้อง เป็นการบรรยายฟ้องว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 แล้ว คำฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5018/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องตาม พ.ร.บ.เช็ค ต้องระบุหนี้ค่าที่ดินที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ราคาค่าที่ดินให้แก่โจทก์ ตามภาพถ่ายสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเอกสารท้ายฟ้อง เป็นการบรรยายฟ้องว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่และบังคับได้ตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4แล้ว คำฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกเทศสัญญาเช็ค – อายุความสิบปี – การรับสภาพหนี้ – ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายและผู้รับรอง
จำเลยมีเจตนาก่อหนี้ด้วยวิธีนำเช็คไปแลกเงินสดอันเป็นเอกเทศสัญญาชนิดหนึ่งที่ใช้บังคับได้เมื่อโจทก์ได้รับชำระเงินแต่เพียงบางส่วนจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ให้จนครบหนี้อันเกิดจากการนำเช็คไปแลกเงินสดตามกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิมที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ปรากฏว่าจำเลยชำระหนี้เป็นบางส่วนแก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่30มิถุนายน2534อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่30เมษายน2536ภายในอายุความสิบปีสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่จำเลยฎีกาว่าการนำเช็คไปแลกเงินสดไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรงทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะยกขึ้นปรับแก่คดีได้จึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งคือออกกฎหมายลักษณะกู้ยืมเมื่อการนำเช็คไปแลกเงินสดมีจำนวนเงินเกินกว่า50บาทมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยไว้เป็นสำคัญโจทก์จะฟ้องร้องให้จำเลยรับผิดหาได้ไม่นั้นจำเลยให้การว่าโจทก์บรรยายฟ้องเป็นเรื่องการนำเช็คไปแลกเงินสดไม่ใช่เรื่องการกู้ยืมหรือผิดสัญญาซึ่งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญดังนั้นฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4532/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่การนำสืบของผู้กล่าวอ้างหนี้ประกัน และการพิสูจน์เจตนาออกเช็คเพื่อชำระหนี้
จำเลยให้การรับว่าจำเลยออกเช็คตามฟ้องให้โจทก์แต่ต่อสู้ว่าออกเพื่อประกันหนี้จำนำและได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีหน้าที่นำสืบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4328/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเช็ค: ผู้ทรงเช็ค ณ เวลาปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นผู้เสียหาย
จำเลยออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงินให้แก่โจทก์โดยระบุชื่อพ. ภริยาโจทก์ หรือผู้ถือเป็นผู้รับเงิน เมื่อปรากฏว่าเช็คพิพาทเป็นตราสารที่เปลี่ยนมือได้ จึงต้องถือเอาข้อความที่ปรากฏในเช็คเป็นสำคัญ เมื่อข้อความในเช็คพิพาทระบุชื่อพ. หรือผู้ถือเป็นผู้รับเงิน เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดชำระเงินพ. นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีของตนเพื่อเรียกเก็บเงินและธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงต้องถือว่าในวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอันเป็นวันที่ความผิดเกิดขึ้นนั้นพ. เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท หาใช่เป็นตัวแทนโจทก์ในการเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ เมื่อ พ. เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในขณะความผิดเกิดขึ้น พ. จึงเป็นผู้เสียหายที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทในขณะความผิดเกิดขึ้น โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4046/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานออกเช็คโดยไม่มีเงินเพียงพอตาม พ.ร.บ.เช็ค 2534 ต้องพิจารณาองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายที่ใช้บังคับ ณ วันยื่นฟ้อง
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2534 โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์2535 หลังจาก พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534ใช้บังคับแล้ว โดยคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุไว้ชัดเจนว่าขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 3, 4คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงต้องถือองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 อันเป็นกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยและเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะโจทก์ยื่นฟ้อง ที่โจทก์อ้างว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายองค์ประกอบความผิดครบถ้วนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 นั้น โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามกฎหมายดังกล่าวทั้งขณะโจทก์ยื่นฟ้องกฎหมายดังกล่าวก็ถูกยกเลิกแล้วตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 3ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องด้วย เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 มาตรา 4 อันเป็นกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยและเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะโจทก์ยื่นฟ้อง ดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4046/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายเช็คที่ใช้บังคับ ณ วันที่ยื่นฟ้อง แม้มีการอ้างถึงกฎหมายเดิมที่ถูกยกเลิกแล้ว
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2534 โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2535 หลังจากพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534ใช้บังคับแล้ว โดยคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุไว้ชัดเจนว่าขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 3,4 คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงต้องถือองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 อันเป็นกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยและเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะโจทก์ยื่นฟ้อง ที่โจทก์ฟ้องว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายฟ้ององค์ประกอบความผิดครบถ้วนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3นั้น โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามกฎหมายดังกล่าวทั้งขณะโจทก์ยื่นฟ้องกฎหมายดังกล่าวก็ถูกยกเลิกแล้วตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 3ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องด้วย เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4อันเป็นกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยและเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4023/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คเพื่อชำระหนี้จริงหรือไม่? การประทับตรา 'เป็นประกัน' ไม่ทำให้เช็คเป็นเช็คเด้ง
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อแลกเปลี่ยนกับเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อรถยนต์ซึ่งถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่จำเลยออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโดยอ้างเหตุปฏิเสธว่า ยังรอเรียกเก็บเงินอยู่ โปรดนำมายื่นใหม่และเงินในบัญชีไม่พอจ่ายจำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1),(3) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3879/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คชำระหนี้ตามสัญญา: ต้องมีหนี้จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จึงไม่เข้าความผิด พ.ร.บ.เช็ค
การออกเช็คที่มีมูลความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 นั้น จะต้องปรากฏว่ามีหนี้ที่จะต้องชำระแก่กันอยู่ และเป็นหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย และผู้ออกเช็คได้ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวโดยมีลักษณะหรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามอนุมาตราใดอนุมาตราหนึ่งของมาตรา 4 นั้น และผู้ทรงเช็คได้ยื่นเช็คต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมายและธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น
คดีนี้โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วมจำเลยต้องการชดใช้เงินแก่โจทก์ร่วมแทนพี่สาวจำเลยจึงทำเป็นสัญญากู้เงินโจทก์ร่วมเท่าจำนวนเงินที่โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกไป และออกเช็คมอบแก่โจทก์ร่วมเพื่อใช้หนี้ตามสัญญากู้เงินดังกล่าว แต่เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วม จึงไม่อาจฟังว่าพี่สาวจำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไปโดยพลการอันทำให้ต้องใช้เงินคืนแก่โจทก์ร่วม เป็นเหตุให้ยังไม่มีหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ร่วมแทนพี่สาวจำเลยด้วยการทำสัญญากู้เงินของโจทก์ร่วม การที่จำเลยออกเช็คในคดีนี้มอบแก่โจทก์ร่วมตามสัญญากู้เงินดังกล่าวจึงไม่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงอันจะเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
คดีนี้โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วมจำเลยต้องการชดใช้เงินแก่โจทก์ร่วมแทนพี่สาวจำเลยจึงทำเป็นสัญญากู้เงินโจทก์ร่วมเท่าจำนวนเงินที่โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกไป และออกเช็คมอบแก่โจทก์ร่วมเพื่อใช้หนี้ตามสัญญากู้เงินดังกล่าว แต่เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วม จึงไม่อาจฟังว่าพี่สาวจำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไปโดยพลการอันทำให้ต้องใช้เงินคืนแก่โจทก์ร่วม เป็นเหตุให้ยังไม่มีหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ร่วมแทนพี่สาวจำเลยด้วยการทำสัญญากู้เงินของโจทก์ร่วม การที่จำเลยออกเช็คในคดีนี้มอบแก่โจทก์ร่วมตามสัญญากู้เงินดังกล่าวจึงไม่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงอันจะเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4