คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
จำเลย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,884 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดมาตราส่วนโทษโดยคำนึงถึงความรู้สึกผิดชอบของจำเลย แม้ข้อหาบางส่วนต้องห้ามฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาได้
การใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษโดยคำนึงถึงความรู้สึกผิดชอบของจำเลยที่ 3 เป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน เมื่อศาลฎีกาลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานที่ไม่ต้องห้ามฎีกาแล้ว ก็มีอำนาจลดมาตราส่วนโทษในความผิดฐานที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9800-9802/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมพิจารณาคดีและการใช้พยานหลักฐาน: พยานที่เบิกความก่อนรวมคดีถือเป็นพยานลับหลังจำเลย
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2073/2542 ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1738/2543 และฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2065/2543 ต่อมาวันที่ 4 มิถุนายน 2544 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้ากับคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ได้สืบประจักษ์พยานโจทก์ 2 ปาก คือ จ. และ บ. ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ไปก่อนแล้ว หลังจากการสั่งรวมพิจารณาคดีแล้ว โจทก์นำ จ. มาสืบใหม่ได้เพียงคนเดียว บ. ไม่อาจนำมาสืบได้ ดังนั้น คำเบิกความของ บ. ที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก่อนมีการรวมพิจารณาคดีต้องถือว่าเป็นการสืบพยานลับหลัง ไม่อาจนำมาฟังลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ คงใช้ได้แต่เฉพาะคำเบิกความของ จ. เพราะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้มีโอกาสถามค้าน จ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8829/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยผู้รับประกันภัยมีหนี้โจทก์แยกจากสิทธิไล่เบี้ยจากผู้กระทำละเมิด หักกลบลบหนี้มิได้
จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของโจทก์และรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 เมื่อรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 เฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย จำเลยที่ 4 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ในความเสียหายที่โจทก์ได้รับตามกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 และในฐานะที่จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 ซึ่งต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกคือโจทก์ในความเสียหายที่เกิดจากรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 เช่นนี้ จำเลยที่ 4 จึงมีหนี้ที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองกรณีเพียงฝ่ายเดียว โจทก์ไม่มีหนี้ที่ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 4 การที่จำเลยที่ 4 ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 และรับช่วงสิทธิจากโจทก์ไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ที่ทำให้รถยนต์โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 4 ก็มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เท่านั้น หาได้ก่อให้เกิดภาระหนี้แก่โจทก์ไม่ เมื่อการใช้ค่าสินไหมทดแทนของจำเลยที่ 4 แก่โจทก์ยังไม่เพียงพอแก่ความเสียหายที่แท้จริง โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายส่วนที่ขาดจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ผู้ทำละเมิด และยังเรียกให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 ภายในวงเงินตามกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 ได้อีกด้วย จำเลยที่ 4 จึงตกเป็นหนี้โจทก์ที่จะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายส่วนที่ขาดแก่โจทก์อีก เมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นหนี้จำเลยที่ 4 จึงไม่ใช่กรณีที่บุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุประสงค์เป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระที่ลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะนำมาหักกลบลบหนี้กันได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 341 จำเลยที่ 4 จึงไม่อาจนำเอาหนี้ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้แก่โจทก์ไปแล้วมาหักกลบลบกับค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องส่วนที่ขาดอีกได้ ทั้งไม่ใช่เป็นกรณีที่สิทธิและความรับผิดในหนี้รายใดตกอยู่แก่บุคคลเดียวกันอันจะทำให้หนี้รายนั้นระงับสิ้นไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 353

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8584/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อพิพาทนอกประเด็นในคำให้การ ถือเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยต้องเข้าปฏิบัติงานภายใน 3 วัน นับแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2544 แต่จำเลยไม่เข้าปฏิบัติงานภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยให้การต่อสู้ว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยกำหนดให้จำเลยเข้าปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไปดังนี้ ประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในเรื่องนี้จึงมีเพียงว่าข้อตกลงที่มีต่อกันกำหนดให้จำเลยต้องเริ่มปฏิบัติงานภายใน 3 วัน นับแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2544 หรือไม่ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ดำเนินการเกี่ยวกับงานฐานรากให้แล้วเสร็จเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจเข้าปฏิบัติงานภายในวันที่ 18 พฤษภาคม 2544 ได้ จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การของจำเลยและมิชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8451/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดลิขสิทธิ์พจนานุกรม: จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย, จำเลยที่ 2 ไม่ร่วมกระทำละเมิด
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ตกลงชำระค่าลิขสิทธิ์ให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 20 ของราคาขาย เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระค่าลิขสิทธิ์ไม่ครบถ้วน จึงเป็นการไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสัญญาอันเป็นการผิดสัญญา มิใช่การละเมิดลิขสิทธิ์โจทก์
แม้จำเลยที่ 1 จะมีใบเสร็จรับเงินมาแสดงว่าโจทก์อนุญาตให้จำเลยที่ 1 จัดทำไฟล์ข้อมูล ศัพทานุกรมและพจนานุกรมของโจทก์เพื่อจำหน่าย แต่โจทก์ก็เบิกความปฏิเสธว่า จำเลยที่ 1 เพิ่มชื่อศัพทานุกรมและพจนานุกรมดังกล่าวลงในใบเสร็จรับเงินเพื่อฉ้อฉลโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 จัดทำไฟล์ข้อมูลดังกล่าวและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานศัพทานุกรมและพจนานุกรมทั้ง 2 ฉบับ ของโจทก์
แม้จะปรากฏว่าการออกเสียงเป็นคุณสมบัติพิเศษของเครื่องปาล์ม (เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา) บางรุ่น และการออกเสียงได้เกิดจากโปรแกรมเสียงสังเคราะห์ที่ออกเสียงได้ไม่จำกัดเฉพาะพจนานุกรมของโจทก์เท่านั้น แต่เมื่อการออกเสียงดังกล่าวเป็นการออกเสียงตามพจนานุกรมฉบับดังกล่าวของโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 นำพจนานุกรมฉบับดังกล่าวของโจทก์มาดัดแปลงใส่เสียงอ่านเป็น "ทอล์คกิ้ง ดิกชันนารี" โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ จึงถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานพจนุกรมฉบับดังกล่าวของโจทก์
ตามใบเสร็จรับเงินที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยที่ 1 คงระบุเพียงว่า โจทก์อนุญาตให้จำเลยที่ 1 จัดพิมพ์และจำหน่ายบทประพันธ์พจนานุกรมของโจทก์ในสื่อชนิดไฟล์ข้อมูลรูปแบบที่แสดงผลในเครื่องคอมพิวเตอร์มือถือเท่านั้น ไม่มีข้อความระบุให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิดัดแปลงได้ การที่จำเลยที่ 1 ดัดแปลงโดยการตัดประโยคตัวอย่างเดิมออกและมีการตั้งชื่อพจนานุกรมใหม่เป็น 5 ชื่อดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์
การที่จำเลยที่ 1 จัดทำฐานข้อมูลทั้งห้าดังกล่าวจำหน่ายทางเว็บไซต์โดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ แม้ว่าตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ จะบัญญัติว่า "ผู้ดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ จะมีลิขสิทธิ์ในงานที่ได้ดังแปลง แต่การได้ลิขสิทธิ์นั้นต้องเข้าเงื่อนไขที่ว่า การดัดแปลงนั้นได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์" เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การดัดแปลงฐานข้อมูลทั้งห้าดังกล่าวมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีลิขสิทธิ์ในการจัดทำฐานข้อมูลทั้งห้าดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธินำงานดังกล่าวไปจำหน่ายทางเว็บไซต์ จึงถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ และการที่จำเลยที่ 1 ให้ลูกค้าที่ซื้อเครื่องปาล์มสามารถอัพเกรดทางเว็บไซต์ได้ในราคาพิเศษโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ย่อมถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์เช่นกัน
โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 เปิดตัวโปรแกรมไทยแฮคสำหรับเครื่องปาล์มรุ่นทังสเตนที โดยลูกค้าที่ซื้อเครื่องดังกล่าวสามารถอัพเกรดทางเว็บไซต์ได้ในราคาพิเศษ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายเครื่องดังกล่าวรู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ทั้งการอัพเกรดก็กระทำผ่านเว็บไซต์ของจำเลยที่ 1 ผู้ได้รับประโยชน์คือจำเลยที่ 1 ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าวของโจทก์ นอกจากนี้ การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 นำข้อมูลจากพจนานุกรมของโจทก์มาทำซ้ำเป็นแผ่นซีดีขายหรือแจกแถมพร้อมเครื่องปาล์มของจำเลยที่ 2 โจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 รู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงมิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าวของโจทก์เช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8093/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาขายฝากโมฆะ สิทธิครอบครองยังเป็นของจำเลย โจทก์ผู้รับโอนไม่มีสิทธิ
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ร่วมทั้งสองมีสิทธิครอบครองที่ดินพาทก่อนขายให้แก่โจทก์หรือไม่ โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์และต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่เพียงใด โดยประเด็นทั้งสองข้อนี้เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองเป็นฝ่ายกล่าวอ้างภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง และที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) แต่แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เป็นหลักฐานที่รับฟังได้แต่เพียงว่า ขณะแจ้งการครอบครองผู้แจ้งอ้างว่าที่ดินเป็นของผู้แจ้งที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) หาใช่อสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดินตามนัยที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1373 อันจะทำให้โจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่อย่างใดไม่ จำเลยเป็นฝ่ายยึดถือครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1369 ว่า จำเลยยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตน จึงตกเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว ประกอบทั้งได้พิจารณาพยานหลักฐานในประเด็นทั้งสองนี้แล้ว เห็นว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของโจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยร่วมกัน แม้โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองนำสืบก่อน จำเลยก็ถามค้านให้พยานโจทก์มีโอกาสอธิบายและนำสืบถึงข้อความเหล่านั้นโดยบริบูรณ์แล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองหาเสียเปรียบไม่ ศาลล่างทั้งสองหาได้ดำเนินกระบวนพิจารณาขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 84 ไม่ และไม่เป็นการพิจารณาผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 แต่อย่างใด
สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ร่วมทั้งสองกับจำเลยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาขายฝากดังกล่าวจึกตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 ถือเสมือนว่ามิได้มีนิติกรรมการขายฝากเกิดขึ้นเลย เมื่อสัญญาขายฝากนี้เป็นโมฆะแล้ว โจทก์ร่วมทั้งสองย่อมจะอ้างสิทธิการได้มาโดยการครอบครองโดยนิติกรรมการขายฝากนั้นไม่ได้ เพราะการขายฝากมิใช่ว่าผู้ขายฝากสละเจตนาครอบครองโดยเด็ดขาดให้แก่ผู้ซื้อฝาก แต่ผู้ขายฝากมอบที่ดินโดยมีเงื่อนไขว่าวันหลังจะเอาคืน ฉะนั้น แม้จะฟังว่าโจทก์ร่วมทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากครบกำหนดไถ่ก็ตาม แต่ก็เป็นการครอบครองโดยอาศัยอำนาจของจำเลยเพื่อทำการตัดไม้โกงกางไปเป็นประโยชน์เท่านั้น โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่พิพาท โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทจากโจทก์ร่วมทั้งสองย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าโจทก์ร่วมทั้งสองผู้โอน ไม่ว่าโจทก์จะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8093/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดิน ส.ค.1 สัญญาขายฝากโมฆะ สิทธิครอบครองยังเป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ร่วมมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทก่อนขายให้แก่โจทก์หรือไม่ โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์และต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ โดยประเด็นทั้งสองข้อนี้เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วมเป็นฝ่ายกล่าวอ้างภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่โจทก์และโจทก์ร่วม แต่แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เป็นหลักฐานที่รับฟังได้แต่เพียงว่า ขณะแจ้งการครอบครองผู้แจ้งอ้างว่าที่ดินเป็นของผู้แจ้งมิใช่อสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 อันจะทำให้โจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยเป็นฝ่ายยึดถือครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามมาตรา 1369 ว่าจำเลยยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตน จึงตกเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว
โจทก์ร่วมทั้งสองกับจำเลยทำสัญญาขายฝากที่พิพาทโดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 ถือเสมือนว่ามิได้มีนิติกรรมการขายฝากเกิดขึ้นเลย โจทก์ร่วมทั้งสองย่อมจะอ้างสิทธิการได้มาโดยการครอบครองโดยนิติกรรมการขายฝากนั้นไม่ได้ เพราะการขายฝากมิใช่ว่าผู้ขายฝากสละเจตนาครอบครองโดยเด็ดขาดให้แก่ผู้ซื้อฝาก แต่ผู้ขายฝากมอบที่ดินโดยมีเงื่อนไขว่าวันหลังจะเอาคืน การที่โจทก์ร่วมทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากครบกำหนดไถ่เป็นการครอบครองโดยอาศัยอำนาจของจำเลยเพื่อทำการตัดไม้โกงกางไปเป็นประโยชน์เท่านั้น โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7951/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: จำเลยต้องยื่นคำร้องต่อศาลก่อน หากโต้แย้งเขตอำนาจศาล มิใช่การยกขึ้นในคำให้การ
จำเลยโต้แย้งเรื่องเขตอำนาจศาลไว้ในคำให้การ ไม่ได้ทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาล จึงไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะต้องทำความเห็นส่งไปยังศาลปกครองตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งมิใช่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นที่รับคำฟ้องเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตาม พ.ร.บ.ว่าดัวยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 วรรคสาม ซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอื่น ดังนั้นเมื่อจำเลยมิได้กระทำตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด ทั้งกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นเองว่าอยู่ในอำนาจของศาลนั้นก็ไม่ใช่กรณีที่ถือได้ว่ามีปัญหาขัดแย้งกันเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลจึงไม่ต้องด้วย พ.ร.บ.ว่าดัวยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่งและวรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7755-7774/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลา: การจ่ายโดยบริษัทนำเที่ยวและขอบเขตความรับผิดของจำเลย
จำเลยให้บริษัทนำเที่ยวเช่ารถโดยมีการทำสัญญาจ้างขนส่งด้วยรถโดยสารปรับอากาศ และจำเลยให้โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานขับรถของจำเลยทำหน้าที่ขับรถให้บริษัทนำเที่ยวผู้เช่ารถ ลักษณะงานเป็นงานที่ต้องทำนอกสำนักงานของจำเลย โจทก์ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของบริษัทนำเที่ยวที่สั่งผ่านมัคคุเทศก์ เท่ากับจำเลยมอบการบังคับบัญชาในระหว่างปฏิบัติงานของโจทก์ให้บริษัทนำเที่ยว การทำงานล่วงเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่กับคำสั่งของบริษัทนำเที่ยวหรือมัคคุเทศก์ โดยสัญญาจ้างขนส่งกำหนดให้บริษัทนำเที่ยวเป็นผู้จ่ายค่าล่วงเวลาให้โจทก์ ในขณะเดียวกันจำเลยก็ยังคงจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เป็นเงินเดือนซึ่งเป็นค่าจ้างที่จ่ายสำหรับการปฏิบัติงานขับรถอันมีลักษณะที่ทำนอกสำนักงานของจำเลยอยู่แล้ว ส่วนเงิน "ค่าเบี้ยเลี้ยง" ที่บริษัทนำเที่ยวจ่ายหรือจ่ายผ่านมัคคุเทศก์ให้โจทก์เป็นเงินที่จ่ายตามสัญญาจ้างขนส่ง ตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในระหว่างที่โจทก์ปฏิบัติงานภายใต้คำสั่งและอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของบริษัทนำเที่ยวที่เรียกว่า "ค่าล่วงเวลา" นั่นเอง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 65 (8) ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 12 (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ข้อ 6 โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในการทำงานล่วงเวลาแต่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ดังนั้นเงินที่เรียกว่า "ค่าเบี้ยเลี้ยง" หรือ "ค่าล่วงเวลา" ก็คือ "ค่าตอบแทน" การทำงานล่วงเวลาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่บริษัทนำเที่ยวจ่ายค่าล่วงเวลา (ค่าตอบแทน) เหมาจ่ายให้โจทก์ในอัตราสูงกว่าอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานของโจทก์ และจ่ายให้แม้วันที่โจทก์ไม่ได้ทำงานล่วงเวลาก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของโจทก์ตามสัญญาจ้างขนส่ง ไม่ทำให้เงินดังกล่าวกลายเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงที่บริษัทนำเที่ยวจ่ายตอบแทนการที่โจทก์ออกไปทำงานนอกสำนักงานของจำเลย เมื่อโจทก์ได้รับค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6786/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานรับของโจรไม่เพียงพอ ศาลยกฟ้องจำเลยทั้งสามตามหลักการสงสัย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เป็นพยานหลักฐานชุดเดียวกันยังเป็นที่สงสัยฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดฐานร่วมกันรับของโจร จึงเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 ที่มิได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
of 289