คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ข้อพิพาท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 483 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2149/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิจารณาคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนไต่สวนพยาน: กรณีข้อพิพาทเรื่องครอบครองที่ดิน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255 วรรคแรกเป็นบทบัญญัติบังคับไว้ว่า ศาลจะสั่งอนุญาตตามคำร้องขอโดยไม่ไต่สวนฟังข้อเท็จจริงให้ได้ความตามอนุมาตรา (1) (2)ของมาตรา 255 เสียก่อนไม่ได้ ส่วนในกรณีที่ศาลพิเคราะห์คำร้องแล้วเห็นว่า ไม่มีเหตุสมควรก็ดี ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามคำขอมาใช้ก็ดี ศาลย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องเสียได้โดยหาจำต้องไต่สวนฟังพยานผู้ร้องขอเสียก่อนไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาทห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าเป็นที่ของจำเลย ขอให้ห้ามโจทก์เกี่ยวข้อง เป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองที่พิพาทคู่ความยังโต้แย้งฟ้องและฟ้องแย้งขอบังคับมิให้อีกฝ่ายหนึ่งเกี่ยวข้อง และอยู่ระหว่างสืบพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้อยู่ จึงยังไม่มีเหตุสมควร และไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามคำขอของโจทก์ ที่ขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยและบริวารขัดขวางการครอบครองของโจทก์อ้างว่าเป็นการกระทำซ้ำในเรื่องที่ถูกฟ้องไว้ก่อนมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254 มาใช้ ศาลชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์เสียได้โดยไม่จำต้องไต่สวนพยานของโจทก์ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2149/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนไต่สวน: เมื่อข้อพิพาทยังไม่ชัดเจน ศาลมีอำนาจยกคำร้องได้โดยไม่ต้องไต่สวน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255 วรรคแรก เป็นบทบัญญัติบังคับไว้ว่า ศาลจะสั่งอนุญาตตามคำร้องขอ โดยไม่ไต่สวนฟังข้อเท็จจริงให้ได้ความตามอนุมาตรา (1)(2)ของมาตรา 255 เสียก่อนไม่ได้ ส่วนในกรณีที่ศาลพิเคราะห์คำร้องแล้วเห็นว่า ไม่มีเหตุสมควรก็ดี ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามคำขอมาใช้ก็ดี ศาลย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องเสียได้โดยหาจำต้องไต่สวนฟังพยานผู้ร้องขอเสียก่อนไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาทห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าเป็นที่ของจำเลย ขอให้ห้ามโจทก์เกี่ยวข้องเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองที่พิพาทคู่ความยังโต้แย้งฟ้องและฟ้องแย้งขอบังคับมิให้อีกฝ่ายหนึ่งเกี่ยวข้อง และอยู่ระหว่างสืบพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้อยู่ จึงยังไม่มีเหตุสมควร และไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามคำขอของโจทก์ ที่ขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยและบริวารขัดขวางการครอบครองของโจทก์อ้างว่าเป็นการกระทำซ้ำในเรื่องที่ถูกฟ้องไว้ก่อนมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 มาใช้ ศาลชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์เสียได้โดยไม่จำต้องไต่สวนพยานของโจทก์ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันบังคับใช้ได้ หากเกิดจากข้อพิพาทและมีลงชื่อรับรอง
โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุจากกระทรวงการคลัง แต่เข้าครอบครองที่ดินไม่ได้เพราะจำเลยถือสิทธิครอบครองอยู่ก่อนโจทก์จึงแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน แล้วโจทก์จำเลยตกลงกันว่าจำเลยยอมรื้อบ้านเรือนออกไปภายใน 15 วัน และโจทก์จำเลยลงชื่อไว้ในบันทึกข้อตกลง ถือได้ว่าบันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2276/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: การล้อมรั้วเพื่อรักษาสิทธิเดิมระหว่างข้อพิพาท ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
การเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันผู้กระทำจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 นั้น ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองอยู่ก่อน แล้วเกิดข้อพิพาทกันขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับสุขาภิบาล ว่าสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในที่พิพาทนี้ยังอยู่แก่จำเลยหรือว่าตกเป็นของสุขาภิบาลไปเสียแล้ว การที่จำเลยเข้าล้อมรั้วเพื่อครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่เกิดโต้แย้งสิทธิกันอยู่เช่นนี้ จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 830/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้คดีโดยอ้างความไม่สมบูรณ์ของสัญญา และการนำสืบเพื่อพิสูจน์จำนวนเงินกู้จริง
โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้จำนวน 20,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การต่อสู้ว่าความจริงโจทก์ให้จำเลยกู้ไปเพียง 1,000 บาท แต่โจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญากู้กับโจทก์ไว้ 20,000 บาท เพื่อให้โจทก์ยึดถือไว้แทนเงินกู้ 1,000 บาท โดยโจทก์จะไม่นำสัญญากู้นี้ไปใช้สิทธิเรียกร้องใด ๆ ดังนี้ เป็นการนำสืบถึงความไม่สมบูรณ์ของสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้อง ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องเขตที่ดินและสิทธิในผลผลิต แม้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผลผลิตที่เก็บไป ยังไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
คดีแพ่งแดงที่ 295/2510 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดไปตามสัญญาประนีประนอมและคดีถึงที่สุดแล้วว่าให้ถือแนวต้นมะม่วงทั้ง 12 ต้นเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลยจำเลยจะโต้เถียงว่าต้องแบ่งแนวเขตเป็นอย่างอื่นให้ผิดไปจากคำพิพากษาตามยอมหาได้ไม่
คดีแพ่งแดงที่ 295/2510 โจทก์จำเลยพิพาทกันด้วยเรื่องที่ดินตรงที่ติดต่อกันในประเด็นที่ว่า มีอาณาเขตอยู่ตรงไหน จำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์หรือไม่ แต่ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าศาลได้พิพากษาชี้ขาดคดีแพ่งแดงที่ 295/2510 แล้วว่า ให้ถือแนวต้นมะม่วงทั้ง 12 ต้นเป็นแนวเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลย ต้นมะม่วงที่เป็นแนวเขตจึงเป็นของโจทก์ จำเลยเก็บผลมะม่วงนั้นไป ต้องชดใช้ค่าผลมะม่วงให้โจทก์ประเด็นในคดีนี้เป็นคนละประเด็นกับคดีแพ่งแดงที่ 295/2510 กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 240/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทสัญญาเช่าและสิทธิในอสังหาริมทรัพย์: การพิสูจน์สิทธิที่แท้จริงของผู้ให้เช่าและผลกระทบต่อสัญญาเช่าช่วง
โจทก์มิได้รับข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างว่า ล. ผิดสัญญากับจำเลยร่วมโดยทำการก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา จำเลยร่วมจึงได้บอกเลิกสัญญา ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย
โจทก์เช่าตึกพิพาทจาก ล. โดยให้โจทก์มีสิทธิให้เช่าช่วงได้ จำเลยเช่าช่วงตึกแถวจากโจทก์ จำเลยค้างชำระค่าเช่า โจทก์จึงฟ้องขับไล่และให้จำเลยชำระค่าเช่า จำเลยให้การว่าตึกพิพาทเป็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังให้ ล. สร้างแล้วยกให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังให้ ล. เช่า ล. ก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา กระทรวงการคลังจึงบอกเลิกสัญญา ล. จึงหมดสิทธิที่จะเช่าอาคารพิพาท ดังนี้ ไม่ใช่เรื่องที่บุคคลหลายคนเรียกร้องเอาอสังหาริมทรัพย์อันเดียวกันอาศัยมูลสัญญาเช่าต่างราย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 543

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886-1888/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินวังขังน้ำใช้ร่วมกัน การแบ่งสันปันส่วนเมื่อเกิดข้อพิพาท
โจทก์จำเลยและผู้อื่นอีก 3 คนต่างเป็นเจ้าของที่ดินนาเกลือซึ่งอยู่ทางเหนือต่อจากที่ดินเหล่านี้ลงไปทางใต้ เป็นที่ดินยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นวังขังน้ำที่คนเหล่านี้ช่วยกันทะนุบำรุงรักษาและใช้น้ำในวังขังน้ำ สำหรับทำนาเกลือร่วมกัน ไม่อาจกำหนดลงได้ว่าเจ้าของนาเกลือคนใดเป็นเจ้าของที่ดินวังขังน้ำตรงไหน เมื่อโจทก์เลิกทำนาเกลือจะเปลี่ยนเป็นทำนากุ้งในที่ดินวังขังน้ำซึ่งอยู่ติดต่อตรงกับที่ดินนาเกลือของโจทก์ แต่พอเริ่มเข้าทำ จำเลยก็ขัดขวางและเข้าทำบ้าง และเกิดพิพาทกันในชั้นตำรวจและอำเภอตลอดมาโจทก์จำเลยต่างแยกกันครอบครองและแย่งกันทำประโยชน์ ต่างก็ได้เข้าครอบครองที่พิพาท แต่ยังไม่มีฝ่ายใดเข้าครอบครองโดยสงบเป็นส่วนสัดเมื่อคดีมาสู่ศาล ศาลย่อมแบ่งที่พิพาทให้โจทก์จำเลยฝ่ายละครึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน: เนื้อที่พิพาทน้อยกว่าที่ฟ้อง และราคาไม่เกินเกณฑ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ที่ดินที่โจทก์จำเลยพิพาทกันมิใช่ทั้งแปลงดังที่โจทก์ฟ้อง คงพิพาทกันเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อที่ทั้งหมด และส่วนนี้แม้จะไม่ได้ความตามท้องสำนวนว่าเป็นเนื้อที่เท่าไร และศาลชั้นต้นไม่ได้ให้คู่ความตีราคาที่พิพาทใหม่ก็ตามก็คำนวณเอาจากมาตราส่วนในแผนที่วิวาทได้ว่าที่ดินที่พิพาทกันเนื้อที่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของที่ที่โจทก์ฟ้องทั้งหมด ส่วนราคาของที่พิพาทนั้นเมื่อรวมค่าเสียหายอีก 300 บาท ก็ไม่เกินห้าพันบาทเพราะที่ของโจทก์ 10 ไร่1 งาน โจทก์ตีราคามาเพียง 5,125 บาท คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นก็เพียงแก้ไขเล็กน้อย โจทก์จึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1462/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเกี่ยวกับการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต้องดำเนินการในสำนวนคดีเดิม
การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องเป็นการกระทำโดยมิชอบนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีของศาลแพ่งแดงที่ 1696/2512 ระหว่าง ป. โจทก์ ว. จำเลย ซึ่งทำยอมความกันไว้เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2512 ซึ่งข้อ 5 มีความว่า โจทก์จำเลยตกลงให้มีกรรมการตรวจงาน 3 นาย ให้กรรมการทั้ง 3 นาย มีอำนาจชี้ขาดว่าการก่อสร้างแล้วเสร็จตามข้อตกลงหรือไม่ ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2512 กรรมการตรวจงานทั้งสามคนได้ไปตรวจงานก่อสร้างทุกรายการตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าโจทก์ จำเลยในคดีนั้นแล้ว เห็นว่าผลงานก่อสร้างทุกรายการตามสัญญาประนีประนอมยอมความเสร็จเรียบร้อยใช้การได้ และฝีมือช่างที่ก่อสร้างอยู่ในขั้นประณีตใช้การได้ดี ปรากฏเช่นนี้ โจทก์มาบรรยายฟ้องคดีนี้ว่า การตรวจงานของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 (หมายถึงคณะกรรมการตรวจงานในคดีแรก) ไม่ได้กระทำการโดยสุจริต ฯลฯ กรณีดังที่กล่าวมาเห็นได้ชัดแจ้งว่า ข้อโต้แย้งของโจทก์ในคดีนี้เป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1696/2512 โจทก์ชอบที่จะต้องขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาให้รู้ว่าคณะกรรมการผู้ตรวจงานทำถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ในคดีเดิม ไม่ชอบที่จะมาฟ้องเป็นคดีใหม่
of 49