คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าจ้าง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 877 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 541/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างลูกจ้างรายวัน กรณีไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากถูกจับกุมจากการแจ้งความของนายจ้าง
โจทก์เป็นลูกจ้างรายวันของจำเลยจะได้รับค่าจ้างซึ่งเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้เป็นการตอบแทนการทำงานเป็นรายวันเฉพาะในวันที่จำเลยมาทำงานให้แก่โจทก์เท่านั้น หากวันใดโจทก์ไม่มาทำงานก็จะไม่ได้รับค่าจ้าง โจทก์ไม่ได้มาทำงานให้แก่จำเลยเนื่องจากถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมและควบคุมตัวไว้สอบสวนจนถึงวันที่จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ แม้จำเลยจะเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยและโจทก์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัวไว้ โจทก์จึงมาทำงานให้แก่จำเลยไม่ได้ ก็ไม่ใช่เป็นเหตุที่จำเลยจะต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างนั้นให้แก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 541/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างลูกจ้างรายวันเมื่อถูกจับกุม: ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างช่วงถูกควบคุมตัว
โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างรายวันของจำเลยถูกตำรวจจับกุมตัวและควบคุมตัวไว้จนกระทั่งถึงวันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ แม้ว่าจำเลยจะเป็นผู้แจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับโจทก์ก็ตาม จำเลยก็ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างนั้นให้โจทก์ เพราะโจทก์จะได้รับค่าจ้างเฉพาะในวันที่โจทก์มาทำงานให้แก่จำเลยเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5306/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าจ้างตามสัญญา แม้จำเลยอ้างไม่ได้รับประโยชน์จากโควตา ก็ยังต้องรับผิดตามสัญญา
ตามคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วของจำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าพยานที่จะขอสืบเพิ่มเติมเป็นพยานสำคัญเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับโควตาส่งออกตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ตามข้ออ้างดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่ามิใช่เป็นพยานหลักฐานที่จะชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็น เพราะโจทก์ฟ้องเรียกค่าตอบแทนหรือค่าจ้างจากสัญญาที่โจทก์ได้จัดการให้จำเลยแล้ว ส่วนจำเลยจะได้รับประโยชน์หรือไม่ จึงมิใช่ข้อสำคัญแห่งประเด็น ศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องจำเลยที่ 1 และที่ 2ชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าพยานดังกล่าวเป็นพยานสำคัญเพราะจะได้สนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นขณะทำสัญญานั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้กล่าวอ้างมาแต่ในศาลล่างทั้งสอง เพิ่งจะมากล่าวอ้างในชั้นฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทน ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งประเด็นข้อนี้ต่อศาลอุทธรณ์โดยตรง คงอุทธรณ์แต่เพียงว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรื่องตัวแทน การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3เป็นตัวแทนในการทำสัญญา จึงยังคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวว่าตามคำฟ้องโจทก์ถือได้ว่าเป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนแล้วข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อนี้จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ แต่จำเลยที่ 3 อ้างว่าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากับโจทก์ ให้โจทก์ช่วยยื่นคำขอและวิ่งเต้นขออนุญาตโควตาสิ่งทอเพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้ค่าตอบแทนโหลละ30 บาท โจทก์ได้จัดการติดต่อให้จำเลยที่ 1 ได้รับโควตา จึงเรียกเงินค่าตอบแทนเป็นการฟ้องเรียกเงินค่าตอบแทนหรือค่าจ้างในการที่โจทก์ได้จัดการให้จำเลยที่ 1ตามสัญญา เมื่อโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาเรียบร้อยแล้วย่อมมีสิทธิจะได้รับเงินค่าตอบแทนตามสัญญา
การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่ได้รับประโยชน์จากโควตา และเรียกเก็บเงินจากการขายสินค้าไม่ได้ ทั้งไม่เคยนำเงินตราจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศ แม้จะเป็นจริงอย่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างก็ไม่ทำให้พ้นความรับผิด เพราะโจทก์ได้ดำเนินการตามสัญญาให้เรียบร้อยแล้ว ข้ออ้างของจำเลยที่ 1และที่ 2 ดังกล่าวอาจเป็นข้อสนับสนุนว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้เชิดจำเลยที่ 3 ให้เป็นตัวแทนเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงนี้ศาลล่างรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนทำสัญญากับโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่พ้นความรับผิดตามสัญญา
การที่โจทก์กับฝ่ายจำเลยได้ตกลงทำสัญญาโดยถ้อยคำในสัญญาใช้คำว่าช่วยยื่นคำขอและวิ่งเต้นขออนุญาตโควตาสิ่งทอเพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวโจทก์เบิกความว่า ค่าวิ่งเต้นหมายถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการติดต่อกับเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศ เช่น ค่ารถ ค่าเสียเวลา เจ้าหน้าที่ไม่เคยเรียกเงินจากโจทก์ ส่วนจำเลยไม่มีพยานสืบให้เห็นว่าเป็นการให้วิ่งเต้นเพื่อให้สินบนแก่เจ้าพนักงานแต่อย่างไร เพียงแต่ในการดำเนินการยื่นคำขอโควตาให้จำเลยที่ 1 โจทก์ได้ให้ ก.ซึ่งเป็นลูกจ้างของกรมการค้าต่างประเทศช่วยติดตามดูแลเรื่องให้และจะแบ่งค่านายหน้าให้ การกระทำของ ก.ทางกรมการค้าต่างประเทศเห็นว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ ประพฤติตนเป็นตัวแทนและนายหน้าให้บุคคลภายนอกโดยมีสินจ้าง เป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสมจึงให้ออกจากราชการย่อมเห็นได้ว่า ก.เป็นเพียงลูกจ้างไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณาให้โควตาสิ่งทอ แต่ช่วยติดตามดูแลเรื่องให้โจทก์ มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์กับฝ่ายจำเลยทำสัญญาเพื่อให้โจทก์วิ่งเต้นให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ อันจะเป็นการตกลงกันให้กระทำผิดกฎหมาย สัญญาดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง และสิทธิวันหยุดพักผ่อนของลูกจ้างรถไฟ: การตีความสัญญาจ้างและข้อกำหนดกฎหมายแรงงาน
โจทก์ทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนขบวนรถไฟดีเซลราง เริ่มเข้าทำงานก่อนที่ขบวนรถจะออก 1 ชั่วโมง และทำงานอยู่บนขบวนรถตลอดทางจนถึงสถานีปลายทาง ส่วนในเที่ยวกลับก็เข้าทำงานในลักษณะเดียวกัน การทำงานของโจทก์ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดการเดินทางของขบวนรถไฟดีเซลรางแต่ละครั้ง จึงเป็นการทำงานตามปกติของโจทก์ เบี้ยเลี้ยงที่จำเลยจ่ายให้โจทก์แต่ละเที่ยวของการเดินทางจึงเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาปกติด้วย เพราะนอกจากงานต้อนรับบนขบวนรถแล้วโจทก์ไม่มีหน้าที่อื่นอีก แม้เวลาทำงานบนขบวนรถจะเกินกำหนดเวลาตามที่กำหนดในข้อ 3แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ก็ตาม โจทก์ก็ได้ทำงานกับจำเลยโดยได้รับเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงรวมกันตลอดมา แสดงว่าโจทก์และจำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างกันในลักษณะดังกล่าว เบี้ยเลี้ยงจึงเป็นค่าจ้าง เมื่อนำเบี้ยเลี้ยงไปคิดรวมกับเงินเดือนแล้ว ถือได้ว่าจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เกินกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
งานที่จำเลยให้โจทก์ทำเป็นงานขนส่ง แม้จำเลยจะให้โจทก์ทำงานเกินเวลาที่กำหนดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมแรงงานอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องรับผิดในการกระทำของตนเป็นอีกกรณีหนึ่ง ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์นอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามข้อ 36
การที่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เกินกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเกือบหนึ่งเท่า เมื่อพิจารณาตามลักษณะงานกับระยะเวลาที่โจทก์ทำงานนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกือบ 4 ปี และโจทก์ไม่ได้โต้แย้งการจ่ายค่าจ้างในลักษณะดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงกันให้ส่วนที่เกินอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนั้นเป็นค่าทำงานเกินเวลา ทั้งกรณีไม่ใช่การใช้แรงงานไม่เหมาะสม จึงใช้บังคับได้ เมื่อจำเลยจ่ายเงินให้ครบถ้วนตามสัญญาแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยจ่ายเงินส่วนนี้อีก
ลักษณะงานของโจทก์จะต้องทำต่อเนื่องคาบเกี่ยวกันในวันที่ติดต่อกัน ไม่อาจหยุดเต็มวันในวันเดียวกันได้ จำเลยมีเวลาให้โจทก์หยุดทำงานติดต่อกันเกิน 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 ครั้งกรณีถือได้ว่าในแต่ละสัปดาห์จำเลยได้ให้โจทก์หยุดทำงานเกินกว่าที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวง-มหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 7 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานสำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์
จำเลยไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าให้โจทก์หยุดพักผ่อนประจำปี ไม่มีข้อตกลงล่วงหน้าให้สะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีไปหยุดปีอื่น ทั้งจำเลยไม่ได้ให้โจทก์หยุดพักผ่อนประจำปี แม้ขณะฟ้องโจทก์ยังเป็นลูกจ้างของจำเลยอยู่ โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี หรือให้จำเลยกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีในทางใดทางหนึ่งได้ เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี จำเลยก็มีหน้าที่ต้องจ่ายให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิลูกจ้าง: ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อน, ค่าทำงานล่วงเวลา, และวันหยุดประจำสัปดาห์
โจทก์ทำงานเป็นพนักงานต้อน รับบนขบวนรถไฟดีเซลราง เริ่มเข้าทำงานก่อนที่ขบวนรถจะออก 1 ชั่วโมง และทำงานอยู่บนขบวนรถตลอดทางจนถึงสถานีปลายทาง ส่วนในเที่ยวกลับก็เข้าทำงานในลักษณะเดียวกันการทำงานของโจทก์ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดการเดินทางของขบวนรถดีเซลรางแต่ละครั้ง จึงเป็นการทำงานตามปกติของโจทก์ เบี้ยเลี้ยงที่จำเลยจ่ายให้โจทก์แต่ละเที่ยวของการเดินทางจึงเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาปกติด้วย เพราะนอกจากงานต้อน รับขบวนรถแล้วโจทก์ไม่มีหน้าที่อื่นอีก แม้เวลาทำงานบนขบวนรถจะเกิดกำหนดเวลาตามที่กำหนดในข้อ 3 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ก็ตาม โจทก์ก็ได้ทำงานกับจำเลยโดยได้รับเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงรวมกันตลอดมา แสดงว่าโจทก์และจำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างกันในลักษณะดังกล่าว เบี้ยเลี้ยงจึงเป็นค่าจ้าง เมื่อนำเบี้ยเลี้ยงไปคิดรวมกับเงินเดือนแล้ว ถือได้ว่าจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เกินกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ งานที่จำเลยให้โจทก์ทำเป็นงานขนส่ง แม้จำเลยจะให้โจทก์ทำงานเกินเวลาที่กำหนดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมแรงงานอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องรับผิดในการกระทำของตนเป็นอีกกรณีหนึ่งไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์นอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามข้อ 36 การที่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เกินกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเกือบหนึ่งเท่า เมื่อพิจารณาตามลักษณะงานกับระยะเวลาที่โจทก์ทำงานนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกือบ 4 ปี และโจทก์ไม่ได้โต้แย้งการจ่ายค่าจ้างในลักษณะดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงกันให้ส่วนที่เกินอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนั้นเป็นค่าทำงานเกินเวลา ทั้งกรณีไม่ใช่การใช้แรงงานไม่เหมาะสม จึงใช้บังคับได้ เมื่อจำเลยจ่ายเงินให้ครบถ้วนตามสัญญาแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยจ่ายเงินส่วนนี้อีก ลักษณะงานของโจทก์จะต้องทำต่อเนื่องคาบเกี่ยวกันในวันที่ติดต่อกัน ไม่อาจหยุดเต็มวันในวันเดียวกันได้ จำเลยมีเวลาให้โจทก์หยุดทำงานติดต่อกันเกิน 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 ครั้งกรณีถือได้ว่าในแต่ละสัปดาห์จำเลยได้ให้โจทก์หยุดทำงานเกินกว่าที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 7 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานสำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์ จำเลยไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าให้โจทก์หยุดพักผ่อนประจำปีไม่มีข้อตกลงล่วงหน้าให้สะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีไปหยุดปีอื่น ทั้งจำเลยไม่ได้ให้โจทก์หยุดพักผ่อนประจำปี แม้ขณะฟ้องโจทก์ยังเป็นลูกจ้างของจำเลยอยู่ โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี หรือให้จำเลยกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีในทางใดทางหนึ่งได้ เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี จำเลยก็มีหน้าที่ต้องจ่ายให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4342/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคิดอายุความค่าจ้าง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์เนื่องจากไม่ได้โต้แย้งประเด็นคำพิพากษาเดิม
คู่ความท้ากันให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การคิดอายุความฟ้องเรื่องค่าจ้างต้องคิดอายุความตามความเห็นของโจทก์ หรือของจำเลยที่ 1 ถ้าต้องคิดตามความเห็นของโจทก์จำเลยยอมจ่ายเงินให้แก่โจทก์ ถ้าต้องคิดตามความเห็นของจำเลยที่ 1 ให้พิพากษายกฟ้องศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การคิดอายุความจะต้องคิดตามความเห็นของจำเลยที่ 1 จึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความเนื่องจากการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์อายุความในการฟ้องร้องได้สะดุดหยุดอยู่ ดังนี้ อุทธรณ์ของโจทก์หาได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติสัมพันธ์มิใช่ลูกจ้าง-นายจ้าง แม้ทำงานในสถานี โจทก์ซื้อเวลาออกอากาศ จัดรายการเอง ไม่ถือเป็นค่าจ้าง
จำเลยที่ 1 มีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ของสถานีเพื่อให้โจทก์สามารถเป็นผู้จัดการสดได้เท่านั้น มิได้มีเจตนาจะทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์ และโจทก์ก็มิได้ทำงานให้แก่จำเลยที่ 1นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ฐานะลูกจ้างและนายจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาเงินต่าง ๆ ตามฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง: การซื้อเวลาออกอากาศ ไม่ถือเป็นค่าจ้าง
จำเลยที่ 1 มีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ให้เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เพื่อให้โจทก์มีสิทธิที่จะเข้าไปจัดรายการสดที่สถานีวิทยุของจำเลยที่ 1 โดยถูกต้องตามระเบียบที่กำหนดไว้เท่านั้นมิใช่เป็นการแสดงออกซึ่งเจตนาที่จะให้โจทก์เข้าไปเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 แต่ประการใด และงานที่โจทก์ทำในสถานีของจำเลยที่ 1เป็นงานจัดรายการสดซึ่งผู้จัดรายการได้ซื้อเวลาออกอากาศของจำเลยที่ 1 ไป และเมื่อมีการซื้อเวลาออกอากาศไปแล้ว ผู้ซื้อเวลาออกอากาศจะจัดรายการออกอากาศอย่างไร จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจควบคุมการปฏิบัติงานของผู้จัดรายการ ดังนั้น งานที่โจทก์ทำโดยแท้จริงคือการจัดรายการสด ซึ่งงานนี้แม้จะทำในสถานที่ของจำเลยที่ 1 แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ขายเวลาในการจัดรายการให้ผู้ซื้อไปแล้ว งานจัดรายการจึงมิใช่งานของจำเลยที่ 1 แต่เป็นงานของผู้ที่ซื้อเวลาไป โจทก์เป็นผู้หนึ่งที่ซื้อเวลาออกอากาศไปจากจำเลยที่ 1 ดังนั้น การทำงานจัดรายการสดจึงมิใช่งานที่โจทก์ทำให้แก่จำเลยที่ 1 จึงไม่มีกรณีที่จะถือได้ว่าโจทก์ได้รับเงินจากจำเลยที่ 1เป็นการตอบแทนการทำงานอันจะถือว่าเป็นค่าจ้างตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์ และโจทก์มิได้ทำงานให้แก่จำเลยที่ 1 นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1จึงไม่ใช่ฐานะลูกจ้างและนายจ้าง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 347/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงสภาพการจ้าง: การรวมค่าครองชีพเป็นค่าจ้าง และการจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งมีข้อตกลงว่าจำเลยตกลงให้คงสภาพการจ้างเดิม ไว้ทั้งหมด ซึ่งสภาพการจ้างเดิมจำเลยมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 5 บาทการที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 5 บาทเป็นการกล่าวอ้างสิทธิตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม ที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกเอาข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม ขึ้นวินิจฉัยจึงตรงประเด็นข้อพิพาท มิใช่นอกประเด็น โจทก์และจำเลยได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กำหนดให้นำค่าครองชีพที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างมารวมเป็นค่าจ้างปกติด้วยค่าครองชีพจึงไม่ได้แยกต่างหากจากค่าจ้าง เมื่อนำค่าครองชีพมารวมกับค่าจ้างปกติที่จำเลยจ่ายให้โจทก์แล้ว มีจำนวนสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด จำเลยจึงไม่ได้จ่ายค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำหรือต่ำกว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 347/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าช่วยเหลือค่าครองชีพเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ไม่ถือเป็นค่าจ้างต่ำกว่าขั้นต่ำ
โจทก์และลูกจ้างอื่นแจ้งข้อเรียกร้องต่อจำเลย มีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างว่า จำเลยตกลงจ่ายเงินช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่พนักงานทุกคนคนละ 330 บาทต่อเดือน โดยให้ถือว่าเงินจำนวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างหรือเงินเดือนปกติ และให้รวมเข้ากับค่าจ้างหรือเงินเดือนที่จะได้รับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2533เป็นต้นไป ค่าครองชีพจึงไม่ได้แยกต่างหากจากค่าจ้าง เมื่อค่าครองชีพที่จำเลยจ่ายเดือนละ 330 บาท เท่ากับวันละ 13.75 บาทนำมารวมกับค่าจ้างปกติที่จำเลยจ่ายให้โจทก์วันละ 70 บาทแล้วจะเป็นค่าจ้างวันละ 83.75 บาท ในขณะที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายในวันดังกล่าววันละ 74 บาท จำเลยจึงไม่ได้จ่ายค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ หรือต่ำกว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง.
of 88