คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกาต้องห้าม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4328/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตาม ม.218 ปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถอนคำร้องทุกข์และโอนลิขสิทธิ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ปรับ 20,000 บาท รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ที่จำเลยฎีกาว่า ตัวแทนของโจทก์ได้ไปถอนคำร้องทุกข์เท่ากับสละสิทธิที่จะให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป ถือว่าไม่มีการร้องทุกข์ และโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่า 3 เดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด คดีจึงขาดอายุความนั้นเป็นฎีกาในปัญหาที่ว่าโจทก์ถอนคำร้องทุกข์แล้วหรือไม่ หรือถอนเมื่อใด จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายซึ่งต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว และที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้รับโอนลิขสิทธิ์ภาพยนตร์มา จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีได้ ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอันต้องห้ามฎีกาด้วยเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3721/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงจากการโต้แย้งคำเบิกความเท็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเบิกความในคดีก่อนทำให้ฟังว่าโจทก์ได้ร่วมกระทำผิดฐานฆ่า พ. ซึ่งเป็นความเท็จ การที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงมีการแทง พ. ถึงแก่ความตายจริงส่วนผู้ที่แทง พ. นั้น เนื่องจากเกิดเหตุเวลากลางคืน และมีเหตุชุลมุน จำเลยเห็นเหตุการณ์ไม่ถนัด ทำให้จำเลยเบิกความไปตามที่ตนเข้าใจว่า ด. เป็นคนแทงซึ่งไม่เกี่ยวกับโจทก์เพราะจำเลยไม่ได้เบิกความว่าโจทก์ร่วมกับพวกฆ่า พ. ไม่ทำให้โจทก์ได้รับผลจากคำเบิกความของจำเลยแต่ประการใดนั้น เท่ากับจำเลยประสงค์ให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงว่า คำเบิกความของจำเลยไม่เป็นความเท็จอันเป็นการเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3101/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อยของศาลอุทธรณ์ทำให้ฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ข้อหาความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 1 เดือน กับให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกคำขอที่ให้นับโทษต่อ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ส่วนข้อหาความผิดฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ให้จำคุก 2 ปีกับให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่ และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยให้ยกคำขอที่ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายบางคนกับให้ยกคำขอที่ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นส่วนบทมาตราที่จำเลยกระทำผิดและอัตราโทษจำคุกศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษเท่ากับศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3101/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับโทษและการคืนเงินผู้เสียหาย ทำให้ฎีกาต้องห้าม
ข้อหาความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 1 เดือน กับให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกคำขอที่ให้นับโทษต่อ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ส่วนข้อหาความผิดฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ให้จำคุก 2 ปีกับให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่ และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยให้ยกคำขอที่ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายบางคนกับให้ยกคำขอที่ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นส่วนบทมาตราที่จำเลยกระทำผิดและอัตราโทษจำคุกศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษเท่ากับศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม-ปัญหาข้อกฎหมายใหม่-การรับสารภาพ: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาที่ยกข้อกฎหมายใหม่หลังจำเลยรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 218
จำเลยฎีกาขอให้ศาลรอการลงโทษ เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2325/2528 ของศาลชั้นต้น กับฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้ฟ้องคดีภายใน 72ชั่วโมงและไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการฎีกาดังกล่าวแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ดังนี้ข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยไม่มีปรากฏในการพิจารณาของศาลชั้นต้น ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2994/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218 ป.วิ.อ. กรณีโต้เถียงข้อเท็จจริงในความผิดฐานค้ามนุษย์
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ตาม ป.อ. มาตรา 282 มีกำหนด 5ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษให้จำคุก 3 ปี คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 ฎีกาที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาไปเที่ยว แล้วพาผู้เสียหายไปให้ ก. กระทำชำเราเป็นการคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวน เพราะพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ใช้อุบายหลอกลวงพาผู้เสียหายไปเพื่อให้สำเร้จความใคร่ของผู้อื่นก็ดี และฎีกาที่ว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำผิดดังฟ้องก็ดีเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
ฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 282 เพราะข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาผู้เสียหายไป เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นนั้น เป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2816/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษโดยไม่รอการลงโทษ และการรับสารภาพขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ฎีกา
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน ปรับ 2,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน สถานเดียวโดยไม่รอการลงโทษจำคุกแม้เป็นการแก้ไขมากก็ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 เมื่อจำเลยรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่าจำเลยเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ ข้อเท็จจริงต้องฟังตามที่โจทก์บรรยายฟ้องจำเลยฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นเพียงลูกค้าผู้เล่นเท่านั้น ดังนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงให้ผิดไปจากคำรับสารภาพของจำเลย และเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่างทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2799/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว และขอบเขตการแก้ไขโทษที่ไม่เกิน 5 ปี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และ 72 ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา75 และลดโทษให้ตามมาตรา 78 แล้วคงจำคุก 8 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้จำคุก 2 ปี ตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวางมา เช่นนี้ เป็นการแก้เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราด้วย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายชกต่อยผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน จำเลยฎีกาว่าจำเลยแทงผู้เสียหายในขณะถูกชกต่อย แต่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ดังนี้ ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาซึ่งเป็นยุติและต้องห้ามฎีกา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2799/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว ถือเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และ 72 ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา 75และลดโทษให้ตามมาตรา 78 แล้วคงจำคุก 8 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้จำคุก 2 ปี ตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวางมา เช่นนี้ เป็นการแก้เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยไม่ได้แก้บทมาตราด้วยจึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายชกต่อยผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน จำเลยฎีกาว่าจำเลยแทงผู้เสียหายในขณะถูกชกต่อยแต่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ดังนี้ ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาซึ่งเป็นยุติและต้องห้ามฎีกา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2799/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว ถือเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และ 72 ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา75 และลดโทษให้ตามมาตรา 78 แล้วคงจำคุก 8 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้จำคุก 2 ปี ตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวางมา เช่นนี้ เป็นการแก้เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราด้วย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายชกต่อยผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน จำเลยฎีกาว่าจำเลยแทงผู้เสียหายในขณะถูกชกต่อย แต่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ดังนี้ ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาซึ่งเป็นยุติและต้องห้ามฎีกา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว.
of 50