คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทรัพย์สิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,615 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3849/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการใช้กฎหมายอิสลามในคดีครอบครัวและมรดก: การให้ทรัพย์สินระหว่างมีชีวิตอยู่
บทบัญญัติมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.2489 นั้น หมายความว่าคดีแพ่งที่เกี่ยวด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกตาม ป.พ.พ.ว่าด้วยครอบครัวและมรดกของผู้นับถือศาสนาอิสลามอันเกิดขึ้นในศาลของสี่จังหวัดดังกล่าว ให้ศาลใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับแทน ดังนั้น กรณีที่จะเป็นคดีต้องด้วยพ.ร.บ.ดังกล่าวจึงต้องเป็นคดีมรดกตาม ป.พ.พ.เสียก่อน
คดีนี้เป็นเรื่องเจ้ามรดกยกที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นสิทธิแก่จำเลยและจำเลยร่วมตั้งแต่เจ้ามรดกยังไม่ถึงแก่ความตาย การยกที่ดินพิพาทให้ดังกล่าวแม้จะทำตามหลักกฎหมายอิสลามที่เรียกว่าพิธีแฮร์เบอะ โดยทำพิธีอย่างถูกต้องที่บ้านโต๊ะอิหม่ามก็ตาม กรณีก็ไม่ใช่เรื่องมรดกเพราะเป็นเรื่องให้ระหว่างมีชีวิตอยู่ บทกฎหมายในเรื่องนี้จึงต้องใช้ ป.พ.พ.บังคับแก่คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3781/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลูกจ้างนำทรัพย์สินนายจ้างไปจำนำโดยมิชอบ ถือเป็นการลักทรัพย์นายจ้างตามกฎหมายอาญา
เลื่อยฉลุไฟฟ้าและเครื่องหินเจียไฟฟ้าที่จำเลยนำไปจำนำ เป็นของโจทก์ร่วม และขณะนำไปจำนำจำเลยยังเป็นลูกจ้างโจทก์ร่วม การที่จำเลยนำเลื่อยฉลุไฟฟ้าและเครื่องหินเจียไฟฟ้าของ โจทก์ร่วมไปจำนำแล้วนำเงินที่ได้รับมาใช้ประโยชน์ส่วนตัวนั้น ถ้าจำเลยไม่ไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนดผู้รับจำนำมีสิทธิ นำไปขายทอดตลาดได้ และทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตโดยแสวงหา ประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง จึงเป็น ความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(11) วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3671/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนสามัญและการบังคับคดี: ทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของหุ้นส่วน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญแสดงบัญชีกำไรขาดทุนและให้นำเงินค่าเช่ามาแบ่งสรรให้หุ้นส่วนทั้งหลายตามสัดส่วน เมื่อเงินดังกล่าวเป็นรายรับหรือทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย จำเลยย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากเงินจำนวนดังกล่าวตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย โจทก์จะกล่าวอ้างในชั้นบังคับคดีว่าเงินดังกล่าวไม่เกี่ยวกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญเพื่อนำยึดทรัพย์สินของจำเลยมาขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาหาได้ไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ห้างหุ้นส่วนสามัญ พ.เลิกกัน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1057 (3) และให้โจทก์ จำเลย และผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดช่วยกันจัดทำหรือให้บุคคลอื่นซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้จัดทำและชำระบัญชีโดยลำดับตามกฎหมาย กรณีจึงต้องจัดให้มีการชำระบัญชีตามมาตรา 1061 และเป็นหน้าที่ของผู้ชำระบัญชีที่จะต้องดำเนินการเกี่ยวกับหนี้สินและทรัพย์สินของห้างดังกล่าวต่อไปตามป.พ.พ.มาตรา 1062 และ 1063 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงไม่อาจขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยมาขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งสรรให้หุ้นส่วนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ กรณีถือได้ว่าการบังคับคดีส่วนนี้ไม่เปิดช่องให้ทำได้โดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยเพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานมาตามหน้าที่ เมื่อไม่เกี่ยวกับจำเลย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จึงชอบแล้ว แม้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3635/2541 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความและการหักบัญชีชำระหนี้
โจทก์กับพวกเคยถูกจำเลยฟ้องและตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่า โจทก์กับพวกยอมร่วมกันชำระเงินจำนวน 17,188,274.38บาท ให้แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ในต้นเงิน 13,400,000บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยโจทก์กับพวกจะชำระทั้งหมดภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้จำเลยยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของโจทก์กับพวกชำระหนี้จนครบ ศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วหากคู่ความฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็จะต้องมีการบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และจำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด เมื่อยังขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่ได้ การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงยังไม่เสร็จสิ้นและจะต้องดำเนินการต่อไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมจำเลยจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์ได้ก็ต่อเมื่อการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ และเมื่อมิใช่กรณีขายแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์ การที่จำเลยหักบัญชีเงินฝากของโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการปฏิบัตินอกเหนือและผิดไปจากที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยจะอ้างว่าเป็นการหักกลบลบหนี้มิได้เพราะโจทก์และจำเลยมีข้อสัญญาที่จะต้องปฏิบัติต่อกันอยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3574/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรสในความเชื่ออิสลาม: ทรัพย์สินที่ซื้อระหว่างสมรสเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แม้โจทก์และจำเลยเป็นอิสลามศาสนิก อยู่ในจังหวัดนราธิวาสซึ่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลาม ในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลาและสตูล พ.ศ. 2489 มาตรา 3 บัญญัติให้ใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัว และมรดกบังคับแทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยการนั้นก็ตาม แต่เนื่องจากกฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัว และมรดกไม่มีบัญญัติไว้ว่าทรัพย์สินที่ซื้อมาระหว่างสมรส เป็นสินสมรสระหว่างผู้ซื้อกับคู่สมรสหรือเป็นสินส่วนตัว ของผู้ซื้อ จึงต้องใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับแก่กรณี โจทก์สมรสกับจำเลยตามกฎหมายอิสลามตั้งแต่ พ.ศ. 2521และโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสโดยซื้อมาจากเงินที่โจทก์และจำเลยทำมาหาได้ร่วมกันจึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3097/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขาดองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร: เงินและทรัพย์สินที่ได้มาไม่เชื่อมโยงกับการปล้นทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์หรือรับของโจรเงินตราต่างประเทศของผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์และรูปคดีมีความสงสัยตามสมควรว่าธนบัตรเงินตราต่างปะเทศที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดจากจำเลยที่ 1 เป็นของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปหรือไม่จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1 ไป ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 227วรรคสอง และฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดฐานรับของโจร ส่วนทรัพย์ของกลางตามฟ้องที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดมาจากจำเลยที่ 2 เมื่อไม่มีเงินตราต่างประเทศของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปรวมอยู่ด้วย ทรัพย์ของกลางดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้โจทก์จะฎีกาว่า ของกลางเหล่านั้นอันได้แก่ สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1 เส้น พร้อมพระเครื่องเลี่ยมทองคำจำนวน 1 องค์ เป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 นำเงินที่ได้รับจากส่วนแบ่งปล้นทรัพย์รายนี้ไปซื้อมา ส่วนธนบัตรสกุลเงินบาทก็เป็นเงินส่วนแบ่งที่จำเลยที่ 2 ได้รับมาและยังคงเหลืออยู่ก็ตาม ของกลางดังกล่าวเมื่อมิใช่ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ จึงไม่มีทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร คดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีความผิดฐานรับของโจรเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3074/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีหลังผู้ตายถึงแก่ความตาย ไม่ถือเป็นการยักยอกมรดก เพราะไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้ตาย
ผู้ตายทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่ธนาคารโดยมอบหมายให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวได้ด้วย ในขณะถึงแก่ความตายผู้ตายยังเป็นหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีแก่ธนาคารเจ้าหนี้แห่งนั้นอยู่จำนวนในยอดเงินกู้ที่ยังไม่เต็มวงเงิน หลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชีกระแสรายวันไปเข้าบัญชีของจำเลย โดยโจทก์และทายาทอื่นซึ่งมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายไม่ทราบ แม้จะเป็นเหตุให้กองมรดกของผู้ตายต้องรับผิดชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแก่ธนาคาร ผู้เป็นเจ้าหนี้ และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายก็ตาม แต่เงินตามจำนวนที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คเบิกไปจาก บัญชีกระแสรายวันที่ผู้ตายมีอยู่แก่ธนาคารเจ้าหนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้ตายที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะถึงแก่ความตายเงินจำนวนดังกล่าวจึงไม่ใช่มรดกของผู้ตาย แต่เป็นเงินของธนาคารเจ้าหนี้ที่ตกลงให้ผู้ตายทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้เท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีซึ่งเป็นเพียงบุคคลสิทธิก็ระงับหรือสิ้นสุดลง และนับแต่วันที่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระงับหรือนับแต่ วันที่ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชีกระแสรายวันในนามของผู้ตายอีก การที่ธนาคารเจ้าหนี้ไม่ทราบถึงการตายของผู้ตายจนทำให้กองมรดก ของ ม. ต้องรับผิดชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแก่ธนาคารก็เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยไม่มีอำนาจซึ่งจำเลยจะต้องรับผิด ในทางแพ่งต่อกองมรดกของผู้ตายเป็นการส่วนตัว การกระทำของ จำเลยในกรณีนี้จึงไม่มีความผิดทางอาญาฐานยักยอกมรดกของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2955/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินรวมในคดีล้มละลาย: สิทธิของผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมและการขายทอดตลาด
ปัญหาที่ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านจะยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วกันเงินกึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดตามสิทธิของผู้ร้องทั้งสี่ให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ได้หรือไม่นั้นแม้ผู้คัดค้านจะมิได้ยกเป็นข้อคัดค้านในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้คัดค้านย่อมยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสองประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 153 เมื่อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมีผู้ร้องทั้งสี่กับจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยมีบ้านเลขที่ 113/10ปลูกคร่อมอยู่โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ร้องทั้งสี่ได้ครอบครองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนใดมาก่อน แสดงว่าผู้ร้องทั้งสี่กับจำเลยมิได้แบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัดผู้คัดค้านซึ่งมีหน้าที่จัดการและรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยจึงมีสิทธิยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเพื่อนำออกขายทอดตลาดได้ จะเจาะจงให้ผู้คัดค้านยึดเฉพาะส่วนของจำเลยและให้ขายทอดตลาดเฉพาะส่วนของจำเลยไม่มีทางจะกระทำได้ เรื่องเช่นนี้ แม้แต่ในกรณีระหว่างผู้ร้องทั้งสี่กับจำเลยซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ถ้าการแบ่งกันเองไม่อาจทำได้หรือจะเสียหายมากนัก ศาลก็ต้องสั่งให้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 วรรคสอง เมื่อผู้คัดค้านยืนยันให้ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจึงชอบที่จะปฏิบัติไปตามนั้นและผู้ร้องทั้งสี่ย่อมมีทางจะร้องขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในทางการบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 153

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2733/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามชิงทรัพย์: การกระทำยังไม่บรรลุผลเนื่องจากไม่ได้ยึดถือทรัพย์สิน
จำเลยใช้ลูกเหล็กของกลางทุบตีที่บริเวณใบหน้าของผู้เสียหายที่ 1 แล้วกระชากสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายที่ 1 สวมอยู่ที่คอจนขาด แต่สร้อยคอหลุดมือตกลงที่พื้น จำเลยที่ 1 ก้มลงเก็บ ผู้เสียหายที่ 1 ร้องขอความช่วยเหลือและเข้ากอดเอวและดึงเสื้อของจำเลยไว้ ผู้เสียหายที่ 2 เข้ามาช่วย จำเลยสะบัดหลุดแล้ววิ่งหนีไป แม้ขณะสร้อยคอทองคำหลุดจากคอผู้เสียหายที่ 1 สร้อยคอทองคำจะอยู่ที่มือจำเลยตอนกระชาก ก็เป็นการกระทำเพื่อมุ่งหมายจะให้สร้อยคอหลุดจากคอผู้เสียหายที่ 1 แต่หลังจากกระชากแล้วสร้อยคอหลุดจากมือจำเลยตกลงที่พื้นแล้วจำเลยยังไม่ทันยึดถือเอาสร้อยคอทองคำไป การที่จำเลยเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายที่ 1 ไปไม่ได้ก็เนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 กอดเอวและดึงเสื้อของจำเลยไว้โดยมีผู้เสียหายที่ 2 เข้ามาช่วย เห็นได้ว่า จำเลยได้ลงมือกระทำความผิดแล้วแต่การยึดถือเอาสร้อยคอทองคำนั้นไปยังไม่บรรลุผล การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2733/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานชิงทรัพย์ vs. พยายามชิงทรัพย์: การยึดถือทรัพย์สินยังไม่สำเร็จ
จำเลยใช้ลูกเหล็กของกลางทุบตีที่บริเวณใบหน้า ของผู้เสียหายที่ 1 แล้วกระชากสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายที่ 1สวมอยู่ที่คอจนขาด แต่สร้อยคอหลุดมือตกลงที่พื้นจำเลยที่ 1 ก้มลงเก็บ ผู้เสียหายที่ 1 ร้องขอความช่วยเหลือและเข้ากอดเอวและดึงเสื้อของจำเลยไว้ผู้เสียหายที่ 2 เข้ามาช่วย จำเลยสะบัดหลุด แล้ววิ่งหนีไป แม้ขณะสร้อยคอทองคำหลุดจากคอผู้เสียหายที่ 1สร้อยคอทองคำจะอยู่ที่มือจำเลยตอนกระชากก็เป็นการกระทำเพื่อมุ่งหมายจะให้สร้อยคอหลุดจากคอผู้เสียหายที่ 1 แต่หลังจากกระชากแล้วสร้อยคอหลุดจากมือจำเลยตกลงที่พื้นแล้วจำเลยยังไม่ทันยึดถือเอาสร้อยคอทองคำไป การที่จำเลยเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายที่ 1 ไปไม่ได้ก็เนื่องจากผู้เสียหายที่ 1กอดเอวและดึงเสื้อของจำเลยไว้โดยมีผู้เสียหายที่ 2เข้ามาช่วย เห็นได้ว่า จำเลยได้ลงมือกระทำความผิดแล้วแต่การยึดถือเอาสร้อยคอทองคำนั้นไปยังไม่บรรลุผลการกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์เท่านั้น
of 262