คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ที่ดินพิพาท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 507 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเรียกค่าเช่าที่ดินหลังคดีกรรมสิทธิ์ถึงที่สุด ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ หากเป็นดอกผลของทรัพย์สินพิพาท
แม้คดีก่อนมีประเด็นในเรื่องโจทก์ขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยขอให้ถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกจากโฉนดที่พิพาทและให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน และคดีนี้มีประเด็นเฉพาะเงินค่าเช่าห้องแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ได้เรียกเก็บจากผู้เช่าระหว่างที่จำเลยที่ 4 ครอบครองที่พิพาทก็ตามแต่ค่าเช่าดังกล่าวเป็นดอกผลของที่พิพาทซึ่งมีมาตั้งแต่เมื่อโจทก์ฟ้องในคดีก่อนประเด็นในเรื่องกรรมสิทธิ์กับประเด็นในเรื่องค่าเช่า จึงเกี่ยวเนื่องจากมูลกรณีเดียวกัน โจทก์อาจฟ้องในเรื่องค่าเช่าพร้อมกับฟ้องในเรื่องกรรมสิทธิ์ได้ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรก โจทก์จะรื้อร้องฟ้องในเรื่องค่าเช่าซึ่งอยู่ในประเด็นกรรมสิทธิ์ที่พิพาทซึ่งถึงที่สุดแล้วไม่ได้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีเรื่องก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องค่าเช่าหลังคดีกรรมสิทธิ์ถึงที่สุด ไม่เป็นฟ้องซ้ำ หากค่าเช่าเป็นดอกผลของที่ดินพิพาท
แม้คดีก่อนมีประเด็นในเรื่องโจทก์ขอแสดงกรรมสิทธิ์พิพาท โดยขอให้ถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกจากโฉนดที่พิพาทและให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน และคดีนี้มีประเด็นเฉพาะเงินค่าเช่าห้องแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ได้เรียกเก็บจากผู้เช่าระหว่างที่จำเลยที่ 4 ครอบครองที่พิพาทก็ตาม แต่ค่าเช่าดังกล่าวเป็นดอกผลของที่พิพาทซึ่งมีมาตั้งแต่เมื่อโจทก์ฟ้องในคดีก่อนประเด็นในเรื่องกรรมสิทธิ์กับประเด็นในเรื่องค่าเช่าจึงเกี่ยวเนื่องจากมูลกรณีเดียวกัน โจทก์อาจฟ้องในเรื่องค่าเช่าพร้อมกับฟ้องในเรื่องกรรมสิทธิ์ได้ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรก โจทก์จะรื้อร้องฟ้องในเรื่องค่าเช่าซึ่งอยู่ในประเด็นกรรมสิทธิ์ที่พิพาทซึ่งถึงที่สุดแล้วไม่ได้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีเรื่องก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาท: ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่ดินเป็นที่ราชพัสดุคนละแปลงกับที่ดินโจทก์ ไม่เกินคำขอ
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การที่จำเลยนำสืบว่าที่พิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุก็เพื่อแสดงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง สิทธิครอบครองเป็นของจำเลยจำเลยชอบที่จะนำสืบได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็นหรือนอกคำให้การ จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโจทก์ เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินโจทก์ ศาลชั้นต้นยังพิพากษาขับไล่จำเลย จึงเป็นการเกินคำขอของโจทก์ ในการพิจารณาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ หากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่เกินคำขอ หากอยู่ในที่ดินแปลงอื่นของบุคคลอื่นคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เกินคำขอ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุคนละแปลงกับที่ดินโจทก์เพื่อที่จะได้วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ ก็อยู่ในขอบเขตที่จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาเกินอุทธรณ์แต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพัน แม้การรังวัดที่ดินจะเป็นเพียงประมาณการ
โจทก์ฟ้องคดีก็เพื่อต้องการที่ดินในส่วนที่ฝ่ายจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์กลับคืน เมื่อโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยฝ่ายจำเลยยอมให้โจทก์ได้รับที่ดิน เพิ่มขึ้น 7 ตารางวา และฝ่ายจำเลยเป็นผู้เสียสละที่ดินตามเนื้อที่ดังกล่าวให้โจทก์ ย่อมถือว่าเป็นการสมประโยชน์ตามที่โจทก์ฟ้อง โดยไม่ต้องคำนึงว่าที่ดินของโจทก์หรือที่ดินของฝ่ายจำเลยจะมีอยู่เดิมเท่าไร แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจะให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินฝ่ายจำเลยให้เหลือเนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 45 วาก็เป็นเพียงประมาณการของที่ดินฝ่ายจำเลยไว้เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตัดอ้อยในที่ดินพิพาท แม้ไม่ทราบเจ้าของ แต่เป็นการทำให้เสียทรัพย์
จำเลยทราบดีว่าอ้อยที่จำเลยสั่งให้คนงานตัดเป็นของผู้อื่นที่มาไถพืชผลของจำเลยที่ปลูกไว้ในที่ดินที่เกิดเหตุซึ่งโจทก์ร่วมและจำเลยพิพาทแย่งสิทธิครอบครองกันอยู่แล้วปลูกอ้อยขึ้นแทน แม้จำเลยจะไม่ทราบว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของอ้อยและก่อนตัดอ้อยจำเลยจะได้แจ้งความให้เจ้าพนักงานตำรวจรับทราบไว้ล่วงหน้าก็ตาม จำเลยก็ไม่มีอำนาจที่จะตัดอ้อยดังกล่าว การที่จำเลยสั่งให้ตัดอ้อยของโจทก์ร่วมจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตัดอ้อยของผู้อื่นในที่พิพาท แม้แจ้งความแล้ว ก็ถือเป็นทำให้เสียทรัพย์
จำเลยทราบดีว่าอ้อยที่จำเลยสั่งให้คนงานตัดเป็นของผู้อื่น ที่มาไถพืชผลของจำเลยที่ปลูกไว้ในที่ดินที่เกิดเหตุซึ่งโจทก์ร่วม และจำเลยพิพาทแย่งสิทธิครอบครองกันอยู่แล้วปลูกอ้อยขึ้นแทน แม้จำเลยจะไม่ทราบว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของอ้อยและก่อนตัดอ้อย จำเลยจะได้แจ้งความให้เจ้าพนักงานตำรวจรับทราบไว้ล่วงหน้า ก็ตาม จำเลยก็ไม่มีอำนาจที่จะตัดอ้อยดังกล่าว การที่จำเลยสั่งให้ ตัดอ้อยของโจทก์ร่วมจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตัดอ้อยของผู้อื่นในที่ดินพิพาท แม้แจ้งความแล้วก็เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
จำเลยทราบดีว่าอ้อยที่จำเลยสั่งให้คนงานตัดเป็นของผู้อื่นที่มาไถพืชผลของจำเลยที่ปลูกไว้ในที่ดินที่เกิดเหตุซึ่งโจทก์ร่วมและจำเลยพิพาทแย่งสิทธิครอบครองกันอยู่แล้วปลูกอ้อยขึ้นแทน แม้จำเลยจะไม่ทราบว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของอ้อยและก่อนตัดอ้อยจำเลยจะได้แจ้งความให้เจ้าพนักงานตำรวจรับทราบไว้ล่วงหน้าก็ตาม จำเลยก็ไม่มีอำนาจที่จะตัดอ้อยดังกล่าว การที่จำเลยสั่งให้ตัดอ้อยของโจทก์ร่วมจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359(4).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 940/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินพิพาทหลังการรับมรดกและการจำนอง: คำพิพากษาตามยอมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก
แม้ผู้ร้องจะรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมแล้วก็ตาม คำพิพากษาตามยอมก็ไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เมื่อปรากฏว่าโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยสุจริต ในขณะที่จำเลยที่ 2 มีชื่อเป็นเจ้าของทางทะเบียน จำนองก็ติดที่ดินพิพาทไปด้วย ผู้ร้องหามีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดเพื่อบังคับชำระหนี้จำนองของโจทก์ไม่.(ที่มา-เนติ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสอยผลมะม่วงในที่ดินพิพาท ไม่ถือเป็นลักทรัพย์ หากไม่มีเจตนาทุจริต
ต้นมะม่วงที่จำเลยสอยเอาผลปลูกอยู่ในที่ดินที่กำลังพิพาทในเรื่องสิทธิกันอยู่ระหวางจำเลยกับผู้เสียหาย โดยจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินนั้น เมื่อมีผู้ไปห้ามจำเลยก็เถียงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลย ดังนี้ จำเลยหามีเจตนาลักมะม่วงนั้นไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในผลผลิตจากต้นไม้บนที่ดินพิพาท - เจตนาลักทรัพย์ - การครอบครอง
ต้นมะม่วงที่จำเลยสอยเอาผลปลูกอยู่ในที่ดินที่กำลังพิพาทในเรื่องสิทธิกันอยู่ระหวางจำเลยกับผู้เสียหาย โดยจำเลยเป็นเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินนั้น เมื่อมีผู้ไปห้ามจำเลยก็เถียงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลย ดังนี้ จำเลยหามีเจตนาลักมะม่วงนั้นไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์.
of 51