พบผลลัพธ์ทั้งหมด 516 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2863/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงเจตนาให้ผู้อื่นทำสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลผูกพันเสมือนการตั้งตัวแทน
การตั้งตัวแทนที่กฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 นั้น เป็นกรณีที่บุคคลกระทำการตั้งตัวแทนโดยมีการตกลงกันระหว่างตัวการและตัวแทน ส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 นั้น เป็นกรณีที่มิได้มีการตกลงกันตั้งตัวแทน แต่เป็นการที่บุคคลคนหนึ่งแสดงออกหรือยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งแสดงออกต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริต ให้เขาหลงเชื่อว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน กฎหมายจึงบัญญัติให้บุคคลซึ่งแสดงออกหรือยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งแสดงออกต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริต เสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน
โจทก์แสดงออกหรือยอมให้ ส. แสดงออกว่าเป็นตัวแทนของโจทก์ และ ส. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้โดยตรง โจทก์จึงต้องรับเอาผลของการที่ ส. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 มาเป็นของตน จะอ้างว่าการตั้งตัวแทนไม่ได้ทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 หาได้ไม่ มูลหนี้ของโจทก์อันเกิดจากการละเมิดที่โจทก์นำมาฟ้องจึงเป็นอันระงับไป
โจทก์แสดงออกหรือยอมให้ ส. แสดงออกว่าเป็นตัวแทนของโจทก์ และ ส. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้โดยตรง โจทก์จึงต้องรับเอาผลของการที่ ส. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 มาเป็นของตน จะอ้างว่าการตั้งตัวแทนไม่ได้ทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 หาได้ไม่ มูลหนี้ของโจทก์อันเกิดจากการละเมิดที่โจทก์นำมาฟ้องจึงเป็นอันระงับไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2863/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงเจตนาให้ผู้อื่นเป็นตัวแทน แม้ไม่ได้ทำตามรูปแบบกฎหมาย ก็ผูกพันตามกฎหมาย
การตั้งตัวแทนที่กฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798นั้น เป็นกรณีที่บุคคลกระทำการตั้งตัวแทนโดยมีการตกลงกันระหว่างตัวการและตัวแทน ส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 นั้น เป็นกรณีที่มิได้มีการตกลงกันตั้งตัวแทน แต่เป็นการที่บุคคลคนหนึ่งแสดงออกหรือยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งแสดงออกต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริต ให้เขาหลงเชื่อว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน กฎหมายจึงบัญญัติให้บุคคลซึ่งแสดงออกหรือยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งแสดงออกต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริต เสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน
โจทก์แสดงออกหรือยอมให้ ส. แสดงออกว่าเป็นตัวแทนของโจทก์ และ ส. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้โดยตรง โจทก์จึงต้องรับเอาผลของการที่ ส. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 มาเป็นของตน จะอ้างว่าการตั้งตัวแทนไม่ได้ทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 หาได้ไม่ มูลหนี้ของโจทก์อันเกิดจากการละเมิดที่โจทก์นำมาฟ้องจึงเป็นอันระงับไป
โจทก์แสดงออกหรือยอมให้ ส. แสดงออกว่าเป็นตัวแทนของโจทก์ และ ส. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้โดยตรง โจทก์จึงต้องรับเอาผลของการที่ ส. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 มาเป็นของตน จะอ้างว่าการตั้งตัวแทนไม่ได้ทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 หาได้ไม่ มูลหนี้ของโจทก์อันเกิดจากการละเมิดที่โจทก์นำมาฟ้องจึงเป็นอันระงับไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2821/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงสภาพการจ้างผูกพันลูกจ้างใหม่ได้ แม้ไม่ได้ลงนามหรือมีส่วนร่วมในการเจรจา หากนายจ้างมีเจตนาให้ผูกพันเป็นการทั่วไป
บทบัญญัติมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มิได้บังคับเด็ดขาดว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้มีผลผูกพันแต่เฉพาะลูกจ้างที่ลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้อง หรือมีส่วนในการเลือกผู้แทนเข้าร่วมเจรจาเท่านั้นดังนั้น เมื่อนายจ้างมีเจตนาให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับพิพาทมีผลผูกพันลูกจ้างเป็นการทั่วไป ลูกจ้างผู้ที่เข้ามาทำงานในภายหลังจากมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับดังกล่าวก็มีสิทธิได้รับประโยชน์จากข้อตกลงนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญชาติไทยโดยการเกิดในราชอาณาจักรไทย: การผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญา
คดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องในข้อหาคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยไม่รับอนุญาต ได้ถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้ได้กำเนิดในราชอาณาจักรไทย โจทก์ย่อมได้สัญชาติไทย เช่นนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีแพ่งขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่สั่งเพิกถอนสัญชาติไทยของโจทก์โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2145/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อผูกพันข้อเท็จจริงจากคดีอาญาในคดีแพ่ง: การพิพากษาคดีละเมิดต้องสอดคล้องกับผลคดีอาญา
มูลละเมิดต่อโจทก์ในคดีนี้เป็นการกระทำอันเดียวกับที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านของโจทก์โดยประมาท ซึ่งในคดีอาญาดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นจำเลยกระทำผิด พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังที่จะลงโทษจำเลย ได้คดีถึงที่สุด ดังนั้นในการพิพากษาคดีนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวว่าจำเลยมิได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านของโจทก์โดยประมาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
ในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านโจทก์โดยประมาทนั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายใน คดีอาญาดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงต้องผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 เป็นบทบัญญัติถึงการพิพากษาคดีส่วนแพ่งในความรับผิดเรื่องละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนว่าจะต้องดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายส่วนแพ่ง โดยมิต้องคำนึงถึงบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ เป็นคนละกรณีกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46
ในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านโจทก์โดยประมาทนั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายใน คดีอาญาดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงต้องผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 เป็นบทบัญญัติถึงการพิพากษาคดีส่วนแพ่งในความรับผิดเรื่องละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนว่าจะต้องดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายส่วนแพ่ง โดยมิต้องคำนึงถึงบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ เป็นคนละกรณีกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2145/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคดีแพ่งผูกพันตามข้อเท็จจริงคดีอาญา หากคู่ความเป็นผู้เสียหายเดียวกัน
มูลละเมิดต่อโจทก์ในคดีนี้เป็นการกระทำอันเดียวกับที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านของโจทก์โดยประมาท ซึ่งในคดีอาญาดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นจำเลยกระทำผิดพยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังที่จะลงโทษจำเลยได้ คดีถึงที่สุด ดังนั้นในการพิพากษาคดีนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวว่าจำเลยมิได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านของโจทก์โดยประมาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
ในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านโจทก์โดยประมาทนั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายใน คดีอาญาดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงต้องผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 เป็นบทบัญญัติถึงการพิพากษาคดีส่วนแพ่งในความรับผิดเรื่องละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนว่าจะต้องดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายส่วนแพ่ง โดยมิต้องคำนึงถึงบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ เป็นคนละกรณีกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46
ในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านโจทก์โดยประมาทนั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายใน คดีอาญาดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงต้องผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 เป็นบทบัญญัติถึงการพิพากษาคดีส่วนแพ่งในความรับผิดเรื่องละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนว่าจะต้องดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายส่วนแพ่ง โดยมิต้องคำนึงถึงบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ เป็นคนละกรณีกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิเรียกร้องจากการเลิกจ้าง: การถอนฟ้องและตกลงรับค่าชดเชยย่อมผูกพันโจทก์
โจทก์เคยฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ขอให้ศาลบังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานหรือให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้ ศาลไกล่เกลี่ยจนตกลงกันได้โดยจำเลยยอม จ่ายค่าชดเชยให้และโจทก์ถอนฟ้องไป คดีถึงที่สุด ดังนี้การที่โจทก์มาฟ้องใหม่ว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น แม้จะไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะคดีก่อนศาลมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีก็ตาม แต่การที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนและตกลงกันดังกล่าวนั้น แสดงให้เห็นว่าโจทก์ยินยอมสละสิทธิอื่น ๆ อันจะพึงเรียกร้องจากจำเลยเนื่องมาจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้นทั้งสิ้นนอกจากค่าชดเชยความตกลงเช่นนี้ย่อมผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ขึ้นมาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 918/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ถูกยึด: คำวินิจฉัยเดิมผูกพันคู่ความเดิม แม้จะมีการฟ้องร้องซ้ำ
ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่าบ้านพร้อมโรงเก็บไม้แปรรูป และร้านค้าไม้แปรรูปซึ่งปลูกอยู่ติดกัน ที่ผู้ร้องเอาไปประกันภัยไว้เป็นของจำเลย และฟังว่าจำเลยเชิดให้ผู้ร้องเป็นตัวแทนเอาทรัพย์สินของจำเลยดังกล่าวไปประกันภัยเงินค่าประกันภัยจึงตกเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของผู้ร้อง ดังนี้ แม้จะเป็นการวินิจฉัยถึงเงินค่าประกันภัยว่าจะตกได้แก่ใครก็ตาม ก็ต้องวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยว่าเป็นของใคร เพื่อนำไปสู่ปัญหาว่าผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในการเอาประกันภัยหรือไม่ด้วย เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าทรัพย์ที่เอาประกันภัยเป็นของจำเลย ข้อวินิจฉัยดังกล่าวจึงผูกพันผู้ร้องคดีนี้ เพราะเป็นคู่ความเดียวกัน ผู้ร้องจะมาร้องให้ศาลวินิจฉัยอีกว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 733/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันโจทก์ สละสิทธิในมรดก
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาและเป็นทายาทของ ถ.ผู้ตายจำเลยเป็นภริยาของ ถ..ก่อนตายถ.มีที่ดินมรดก 2 แปลง จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกได้โอนรับมรดกเอาเป็นของตนแต่ผู้เดียวเป็นการปิดบังเอาทรัพย์มรดกเกินส่วนที่ควรจะได้รับ ขอให้ศาลพิพากษากำจัดจำเลยไม่ให้รับมรดกของ ถ.แต่ได้ความว่าหลังจากถ.ตาย โจทก์จำเลยได้พากันไปที่สำนักงานที่ดิน แล้วโจทก์ได้ให้เจ้าพนักงานที่ดินทำบันทึกความว่า ที่โจทก์ยื่นคัดค้านการที่จำเลยขอรับมรดกของ ถ.นั้น โจทก์ขอถอนยอมให้จำเลยเป็นผู้รับมรดกแต่ผู้เดียว แล้วโจทก์พิมพ์มือโดยมีพยานรับรอง 2 คน ดังนี้เอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งผูกพันโจทก์ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกเอาส่วนแบ่งมรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3324/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผูกพันตามสัญญาของบริษัท เมื่อกรรมการผู้จัดการลงนามโดยไม่ประทับตราบริษัท
ในการติดต่อกับบุคคลธรรมดาอื่น ๆ บริษัทจำเลยที่ 1 มักจะไม่ประทับตราของบริษัท แต่เมื่อติดต่อกับหน่วยราชการจึงจะใช้ตราประทับ และเมื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ทำสัญญาให้โจทก์รับเหมาช่วงขุดคลองส่งน้ำของกรมชลประทานกรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อ แต่ไม่ได้ประทับตราบริษัท บริษัทจำเลยที่ 1 ก็ผูกพันตามสัญญา ดังนั้นการที่กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่โจทก์เนื่องจากโจทก์หาเงินมาให้บริษัทจำเลยที่ 1 ใช้จ่ายในงานก่อสร้างที่รับเหมาจากกรมชลประทานแม้จะมิได้ประทับตราบริษัทจำเลยที่ 1 ก็เป็นการทำแทนบริษัทหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวจึงผูกพันบริษัทจำเลยที่ 1