พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,459 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องประเด็นเดิมที่ยังมิได้วินิจฉัยในคดีก่อน ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำตามกฎหมาย
คดีเดิม ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาข้อ 2 คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็น และศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยชอบแล้ว ต่อมาโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2หรือไม่ จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1776/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าเกษตรกรรมและการฟ้องซ้ำ: ศาลรับฟังพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
คดีก่อนที่โจทก์ฟ้องจำเลยได้ถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า โจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทเพื่อทำนา จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 เมื่อโจทก์บอกยกเลิกการเช่าโดยมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ภายหลังคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้อีก โดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าที่ดินให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 แต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่า ประเด็นวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นเหตุแตกต่างจากคดีก่อนไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยโต้แย้งเรื่องการที่โจทก์ไม่ส่งสำเนาหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.2 ให้จำเลยในชั้นพิจารณาเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 90แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่เมื่อคดีนี้มีประเด็นเรื่องการบอกเลิกการเช่าเป็นประเด็นสำคัญ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจที่จะรับฟังพยานเอกสารหมาย จ.2 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2)
จำเลยโต้แย้งเรื่องการที่โจทก์ไม่ส่งสำเนาหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.2 ให้จำเลยในชั้นพิจารณาเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 90แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่เมื่อคดีนี้มีประเด็นเรื่องการบอกเลิกการเช่าเป็นประเด็นสำคัญ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจที่จะรับฟังพยานเอกสารหมาย จ.2 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1776/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากการเช่านา การฟ้องซ้ำและอำนาจศาลรับฟังพยาน
คดีก่อนที่โจทก์ฟ้องจำเลยได้ถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าโจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทเพื่อทำนาจำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524เมื่อโจทก์บอกยกเลิกการเช่าโดยมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจฟ้องภายหลังคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้อีกโดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าที่ดินให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524แต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่าประเด็นวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นเหตุแตกต่างจากคดีก่อนไม่เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยโต้แย้งเรื่องการที่โจทก์ไม่ส่งสำเนาหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าเอกสารหมายจ.2ให้จำเลยในชั้นพิจารณาเป็นการฝ่าฝืนมาตรา90แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแต่เมื่อคดีนี้มีประเด็นเรื่องการบอกเลิกการเช่าเป็นประเด็นสำคัญเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจที่จะรับฟังพยานเอกสารหมายจ.2ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 148/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินจากใบไต่สวนและการฟ้องซ้ำ
ใบไต่สวนตามประมวลกฎหมายที่ดินไม่ใช่เอกสารสำคัญที่แสดงว่าผู้มีชื่อในใบไต่สวนเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น แต่เป็นหนังสือซึ่งเจ้าพนักงานออกให้เพื่อแสดงว่าเจ้าของที่ดินได้นำรังวัดเพื่อออกโฉนด เมื่อโจทก์ครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่มีใบไต่สวนโดยเจตนายึดถือเพื่อตนเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองจากเจ้าของเดิมโดยเด็ดขาดแล้ว
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แต่ก็ได้วินิจฉัยในข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์ว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งหรือไม่ด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยและคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งหมดนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แต่ก็ได้วินิจฉัยในข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์ว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งหรือไม่ด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยและคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งหมดนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1435/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-สิทธิครอบครองที่ดิน: ประเด็นยังมิได้วินิจฉัยในคดีก่อนไม่ผูกพันคดีหลัง
ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่479/2528โจทก์ที่1และที่3ฟ้องจำเลยอ้างสิทธิในที่ดินโฉนดเลขที่3083และที่ดินมือเปล่าคือที่ดินพิพาทในคดีนี้แต่คำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินเพียงโฉนดเลขที่3083เท่านั้นมิได้ขอให้บังคับเกี่ยวกับที่ดินมือเปล่าแต่ขอให้บังคับให้ใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับที่ดินมือเปล่าด้วยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าในการวางเกณฑ์คำนวณค่าเสียหายนั้นเนื่องจากคำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับจำเลยออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่3083เท่านั้นการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นที่ดินมือเปล่าจนได้สิทธิหรือไม่แล้ววินิจฉัยไปตามประเด็นนี้ย่อมเป็นการวินิจฉัยนอกคำขอท้ายฟ้องจึงไม่นำเอาที่ดินมือเปล่ามารวมคำนวณค่าเสียหายด้วยจำเลยฎีกาโดยไม่มีปัญหาขึ้นสู่ศาลฎีกาเกี่ยวกับที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกคำขอท้ายฟ้องประเด็นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่479/2528เกี่ยวกับที่ดินพิพาทที่เป็นที่ดินมือเปล่านั้นเป็นอันยุติว่าวินิจฉัยให้ไม่ได้เพราะเกินคำขอท้ายฟ้องจึงถือไม่ได้ว่าเป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยแล้วในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่479/2528คำฟ้องสำนวนหลังที่จำเลยฟ้องโจทก์ที่1และที่3จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1393/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำคดีแรงงาน: คำพิพากษาถึงที่สุดห้ามฟ้องซ้ำในประเด็นเดียวกัน แม้อ้างละเมิด
โจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้ลดขั้นเงินเดือนของโจทก์ซึ่งศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าโจทก์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยจำเลยมีสิทธิลงโทษโจทก์ได้คำสั่งให้ลดขั้นเงินเดือนโจทก์นั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายคดีถึงที่สุดแล้วต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่าการลงโทษลดขั้นเงินเดือนโจทก์นั้นเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา420ซึ่งจำเลยทำละเมิดแก่โจทก์หรือไม่ต้องได้ความว่าจำเลยมีคำสั่งลงโทษโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดระเบียบข้อบังคับของจำเลยและทำให้โจทก์เสียหายเมื่อศาลฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยจนถึงที่สุดแล้วว่าคำสั่งลงโทษโจทก์ของจำเลยเป็นคำสั่งที่ชอบจึงไม่เป็นละเมิดแก่โจทก์แต่เป็นเรื่องสืบเนื่องมาจากมูลกรณีเดียวกันหาใช่เป็นเรื่องละเมิดอีกต่างหากจึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา148ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1228/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวม แม้เป็นแปลงเดียวกัน แต่ฟ้องขอส่วนแบ่งที่ตนครอบครองเป็นคนละส่วนกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามกฎหมาย
เดิมจำเลยที่1กับจำเลยที่3ต่างเคยยื่นฟ้องโจทก์ซึ่งคดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่1และที่3มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดพิพาทเนื้อที่เท่าใดส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกในฐานะที่เป็นเจ้าของรวมไปยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่พิพาทออกเป็นส่วนสัดจำเลยที่1ที่2ให้การว่าไม่เคยขัดขวางการยื่นคำร้องขอแบ่งแยกของโจทก์ส่วนจำเลยที่3และที่6มิได้ให้การในข้อนี้และจำเลยที่4ที่5ขาดนัดยื่นคำให้การประเด็นข้อพิพาทมีว่าโจทก์มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งหกไปยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินเป็นส่วนสัดได้หรือไม่แม้โจทก์กับจำเลยที่1และที่3จะเป็นคู่ความรายเดียวกันและจำเลยที่2สืบสิทธิจากจำเลยที่3ทั้งที่ดินโฉนดที่พิพาทจะเป็นแปลงเดียวกันแต่โจทก์ในแต่ละคดีต่างฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินตามส่วนที่ตนครอบครองเป็นคนละส่วนกันซึ่งการที่ศาลจะวินิจฉัยว่าโจทก์ในแต่ละคดีจะได้ส่วนแบ่งส่วนใดเนื้อที่เท่าใดนั้นจะต้องพิจารณาข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์แต่ละคดีเป็นส่วนๆแยกกันไปหาใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำขอในคดีก่อนกับคดีนี้จึงต่างกันฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1228/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและการยกข้อต่อสู้ใหม่: การแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวม และการครอบครองเป็นส่วนสัด
คดีก่อนสำนวนแรกจำเลยที่3เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยและคดีก่อนสำนวนหลังจำเลยที่1เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์และจำเลยที่3ในคดีนี้เป็นจำเลยและทั้งสองสำนวนคู่ความตกลงประนีประนอมยอมความกันโดยสำนวนแรกโจทก์ยอมรับว่าจำเลยที่3มีกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนในที่ดินพิพาท12ไร่ทางด้านทิศตะวันตกติดกับที่ดินของโจทก์และในสำนวนหลังโจทก์และจำเลยที่3เป็นจำเลยที่1ตกลงยกกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จำเลยที่1จำนวน6งานจำเลยที่3จำนวน4ไร่คดีทั้งสองจำนวนดังกล่าวมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่1และที่3มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเนื้อที่เท่าใดส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยครอบครองเป็นส่วนสัดแน่นอนจำเลยทั้งหกไม่ยอมไปยื่นคำร้องขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อแบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ให้โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกในฐานะที่เป็นเจ้าของรวมไปยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็นส่วนสัดของโจทก์ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่าโจทก์มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งหกไปยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดให้โจทก์ตามที่ฟ้องหรือไม่แม้โจทก์กับจำเลยที่1และที่3จะเป็นคู่ความรายเดียวกันและจำเลยที่2สืบสิทธิจากจำเลยที่3ทั้งที่ดินพิพาทจะเป็นแปลงเดียวกันแต่โจทก์ในแต่ละคดีต่างฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินตามส่วนที่ตนครอบครองเป็นคนละส่วนกันซึ่งการที่ศาลจะวินิจฉัยว่าโจทก์ในแต่ละคดีจะได้ส่วนแบ่งส่วนใดเนื้อที่เท่าใดนั้นจะต้องพิจารณาข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์แต่ละคดีเป็นส่วนๆแยกกันไปหาใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำขอในคดีก่อนกับคดีนี้จึงต่างกันฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทเป็นส่วนสัดมานานแล้วจำเลยที่2ที่3และที่6มิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ได้ครอบครองเป็นส่วนสัดและโจทก์ขอแบ่งแยกเกินส่วนที่โจทก์มีสิทธิตามที่ระบุไว้ในโฉนดที่พิพาทส่วนจำเลยที่4ที่5ขาดนัดยื่นคำให้การการที่จำเลยที่2ที่3ที่4และที่6ฎีกาว่าการครอบครองมิได้แบ่งแยกเป็นส่วนสัดที่ดินพิพาทมีผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่8คนและได้บรรยายส่วนไว้แล้วหากจะถือตามที่ครอบครองก็ยากแก่การรังวัดเพราะการครอบครองตามข้อเท็จจริงไม่ตรงกันฎีกาข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ทายาทผู้สืบสิทธิฟ้องคดีซ้ำในประเด็นเดียวกัน ศาลยกฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
โจทก์คดีก่อนและโจทก์คดีนี้ แม้จะเป็นบุคคลคนละคน แต่ต่างก็เป็นทายาทของ ถ.และต่างก็ฟ้องคดีเรียกคืนที่ดินพิพาท โดยอ้างสิทธิในฐานะทายาทผู้สืบสิทธิจาก ถ.ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนเดียวกันจึงถือได้ว่าโจทก์คดีก่อนและโจทก์คดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน และการที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องในคดีก่อนโดยอ้างเหตุว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามฟ้อง ถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีแล้ว ฉะนั้นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีคำขออย่างเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นการฟ้องคดีที่ให้มีการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ทายาทฟ้องแย่งคืนที่ดินพิพาทโดยอ้างสิทธิเดียวกัน ศาลพิจารณาถึงคู่ความและประเด็นที่วินิจฉัยแล้ว
โจทก์คดีก่อนและโจทก์คดีนี้แม้จะเป็นบุคคลคนละคนแต่ต่างก็เป็นทายาทของถ. และต่างก็ฟ้องคดีเรียกคืนที่ดินพิพาทโดยอ้างสิทธิในฐานะทายาทผู้สืบสิทธิจากถ. ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนเดียวกันจึงถือได้ว่าโจทก์คดีก่อนและโจทก์ในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันและการที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องในคดีก่อนโดยอ้างเหตุว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามฟ้องถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีแล้วฉะนั้นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีคำขออย่างเดียวกับคดีก่อนจึงเป็นการฟ้องคดีที่ให้มีการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148วรรคหนึ่ง