พบผลลัพธ์ทั้งหมด 587 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2362/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด – การใช้รถยนต์ของผู้อื่นในการกระทำความผิด
จำเลยซึ่งเป็นบุตรของผู้ร้องนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการบรรทุกไม้แปรรูปผิดกฎหมาย โดยผู้ร้องกับจำเลยพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน นอกจากนี้จำเลยเคยนำรถยนต์ของกลางไปใช้เป็นประจำดังนั้นที่ผู้ร้องกล่าวอ้างและนำสืบว่าจำเลยหลอกเอารถยนต์ของกลางไปจากนาย พ. ลูกจ้างของผู้ร้องในวันเกิดเหตุว่าผู้ร้องให้มาเอารถยนต์ของกลางไปธุระจึงไม่น่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงฟังว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1855/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รถยนต์: ทะเบียนรถไม่ใช่หลักฐานเด็ดขาด ต้องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของที่แท้จริง
ทะเบียนรถยนต์เป็นเพียงบันทึกแสดงการจดทะเบียนของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับรายละเอียดของรถเท่านั้น หาใช่หลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถนั้นไม่ เมื่อผู้ร้องขอคืนของกลางนำสืบฟังไม่ได้ว่าเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางที่แท้จริง ประเด็นข้ออื่นจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ศาลต้อง ยก คำร้องของผู้ร้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1233/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามปล้นทรัพย์, ครอบครองอาวุธปืน, และการริบรถยนต์ที่ใช้ในการหลบหนี
การมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมีความผิดตั้งแต่เริ่มครอบครองเป็นกรรมหนึ่ง และเมื่อได้พกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมายก็เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด การที่จำเลยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลางไปพยายามปล้นทรัพย์ ก็เป็นเพียงยานพาหนะไปมาและพาจำเลยกับพวกหลบหนีให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น รถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1185/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ข้ามประเทศ การไม่ปฏิบัติตามสัญญาเนื่องจากเหตุผลทางการเมืองไม่ถือเป็นพ้นวิสัย
จำเลยนำรถยนต์ เข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดย จำเลยทำสัญญาไว้ต่อ โจทก์ว่าจะส่งรถยนต์ คันดังกล่าวกลับออกไปภายในเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นจำเลยยอมรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม สัญญา อ้างว่าเป็นการพ้นวิสัยเนื่องจากประเทศที่จำเลยจะส่งรถยนต์ กลับออกไปตาม สัญญานั้นเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยใช้ สิทธิการปกครองแตกต่าง กับประเทศไทย จำเลยไม่กล้านำรถยนต์ กลับออกไปยังประเทศดังกล่าว ดังนี้ เป็นเพียงจำเลยไม่กล้านำรถยนต์ กลับออกไปเท่านั้น ไม่ใช่จำเลยกระทำไม่ได้ การชำระหนี้ของจำเลยไม่เป็นการพ้นวิสัย จำเลยต้อง ชำระเงินแก่โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4457/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรมธรรม์ประกันภัยยังคงมีผลแม้ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หากรถยนต์ยังอยู่ในอายุการคุ้มครองและไม่มีการโอน
จำเลยที่ 3 รับประกันภัยค้ำจุนสำหรับการใช้รถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ตามกรมธรรม์ประกันภัยกำหนดเรื่องการโอนรถยนต์ว่า กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลบังคับเมื่อผู้เอาประกันภัยได้โอนรถยนต์ให้บุคคลอื่นเว้นแต่รถยนต์ได้เปลี่ยนมือจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมหรือโดยบัญญัติกฎหมาย ข้อกำหนดดังกล่าวไม่ได้กำหนดเงื่อนไขให้กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลบังคับเพราะเหตุผู้เอาประกันภัยถึงแก่กรรม ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะถึงแก่กรรมก่อนเกิดเหตุ แต่ขณะเกิดเหตุ ว. ภรรยาของจำเลยที่ 2 เป็นทายาทและรับมรดกสืบสิทธิจากจำเลยที่ 2 ผู้ตายในฐานะผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 1 ซึ่งเดิมเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จึงยังคงเป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกคันที่เอาประกันภัยไว้โดย ว. ว่าจ้างต่อ เมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของ ว. ผู้เป็นนายจ้าง ว. จึงมีความผูกพันต้องรับผิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ 3 ย่อมต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนต่อโจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4117/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ให้เช่าซื้อรับชำระค่างวดต่อหลังจำเลยใช้รถผิดกฎหมาย ย่อมเป็นการรู้เห็นเป็นใจและไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน
จำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อมาจากผู้ร้องไปใช้กระทำความผิดโดยผู้ร้องรู้และมิได้บอกเลิกสัญญาแต่กลับรับชำระค่าเช่าซื้อต่อไปอีก พฤติการณ์ของ ผู้ร้องจึงเป็นเพียงประสงค์จะได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้น และการที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง ก็เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่จะได้รับรถยนต์ของกลางไปจากผู้ร้องในภายหลังอันถือได้ว่าเป็นการร่วมรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3912/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการจดทะเบียนรถยนต์สาธารณะต่อเนื่อง แม้มีกฎกระทรวงใหม่ หากจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเดิม
กฎกระทรวง ฉบับที่ 25 (พ.ศ. 2527) ซึ่งออกตามความในมาตรา 5 และมาตรา 7 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522ที่กำหนดว่า รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้างที่จะขอจดทะเบียนเป็นรถยนต์สาธารณะต้องเป็นรถที่ได้จดทะเบียนเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลหรือได้แจ้งย้ายเข้ามาในกรุงเทพมหานครก่อนหรือในวันที่ 19 สิงหาคม 2525 นั้น เป็นเรื่องกำหนดกฎเกณฑ์หรือระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการจดทะเบียนรถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้างเป็นรถยนต์สาธารณะที่มิใช่ได้รับการจดทะเบียนเป็นรถยนต์สาธารณะอยู่แล้วในขณะนั้น เมื่อรถยนต์ของโจทก์เป็นรถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้างที่มีลักษณะ ขนาด และกำลังของเครื่องยนต์และของรถเข้าหลักเกณฑ์ที่จะเป็นรถยนต์สาธารณะตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2524) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2527) และได้รับการจดทะเบียนเป็นรถยนต์สาธารณะมาก่อนแล้วตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2514 โดยไม่ปรากฏว่าการจดทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือขัดต่อระเบียบข้อบังคับที่มีอยู่ในขณะนั้นแต่อย่างใด ทั้งได้มีการเสียภาษีประจำปีและได้รับการต่อทะเบียนประเภทรถยนต์รับจ้างสาธารณะตลอดมา โจทก์เจ้าของรถย่อมมีสิทธิจะจดทะเบียนและเสียภาษีประจำปีรถยนต์ของโจทก์ในประเภทรถยนต์โดยสารสาธารณะต่อไปได้จำเลยซึ่งเป็นนายทะเบียนจะปฏิเสธหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3010/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังอยู่กับผู้ขายจนกว่าจะชำระราคาสิ้นสุดตามสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข และผู้ขายไม่ต้องรับผิดหากผู้ซื้อนำรถไปกระทำผิด
สัญญาซื้อขายรถยนต์มีข้อความว่า ผู้ร้องสัญญาจะโอนรถยนต์ให้ ด. เมื่อได้รับเงินที่ค้างเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าคู่สัญญาตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ซื้อขายเมื่อ ด. ผู้ซื้อชำระราคาส่วนที่เหลือแล้ว เป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 เมื่อ ด. ยังไม่ได้ชำระราคาที่ค้างแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ขาย กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงยังเป็นของผู้ร้อง จำเลยนำรถยนต์ไปกระทำผิดและถูกศาลสั่งริบเมื่อผู้ร้องพิสูจน์ได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางที่แท้จริง และมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลยจึงต้องคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 275/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ครอบครองรถยนต์และผู้รับประกันภัยต่อละเมิดจากผู้ขับขี่
จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ คันเกิดเหตุได้ ให้จำเลยที่ ๑ ซึ่ง เป็นลูกจ้างขับรถคันดังกล่าว แม้จำเลยที่ ๓ จะนำรถไปประกอบการขนส่งในนามของจำเลยที่ ๒ ซึ่ง มีใบอนุญาตประกอบการขนส่งก็ตาม ยังถือได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๓
การที่จำเลยที่ ๓ ใช้ ให้จำเลยที่ ๑ ลูกจ้างขับรถคันเกิดเหตุไปบรรทุกหินซึ่ง เป็นกิจการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๓ ในระหว่างทางแม้จำเลยที่ ๑ จะรับจ้างบุคคลอื่นนำคนป่วยไปส่งโรงพยาบาลตามลำพังโดย ไม่ได้ขออนุญาตจำเลยที่ ๓ เสียก่อนก็ตามแต่ เมื่อการรับจ้างนั้นอยู่ในระหว่างที่จำเลยที่ ๑ กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ จึงต้อง ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ ๑ ได้ กระทำไป
จำเลยที่ ๓ ได้ เช่าซื้อ รถคันพิพาทจากบริษัท ช. แต่ ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถจึงยังเป็นของบริษัท ช. เมื่อบริษัท ช. ประกันภัยรถคันพิพาทไว้กับจำเลยที่ ๔ ตกลงกันว่าจำเลยที่ ๔ จะถือ บุคคลใด ซึ่ง ขับขี่รถยนต์ โดย ได้รับความยินยอมจากบริษัท ช. ผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเองซึ่ง หมายความว่า นอกจากรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยทำละเมิดต่อ ผู้อื่นแล้ว จำเลยที่ ๔ ยังยอมรับผิดในกรณีที่ผู้อื่นเป็นผู้ทำละเมิดโดย ผู้นั้นได้ ขับขี่รถคันที่จำเลยที่ ๔ รับประกันภัยไว้โดย ความยินยอมของผู้เอาประกันภัยจำเลยที่ ๔ จึงต้อง ร่วมรับผิดด้วย.
การที่จำเลยที่ ๓ ใช้ ให้จำเลยที่ ๑ ลูกจ้างขับรถคันเกิดเหตุไปบรรทุกหินซึ่ง เป็นกิจการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๓ ในระหว่างทางแม้จำเลยที่ ๑ จะรับจ้างบุคคลอื่นนำคนป่วยไปส่งโรงพยาบาลตามลำพังโดย ไม่ได้ขออนุญาตจำเลยที่ ๓ เสียก่อนก็ตามแต่ เมื่อการรับจ้างนั้นอยู่ในระหว่างที่จำเลยที่ ๑ กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ จึงต้อง ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ ๑ ได้ กระทำไป
จำเลยที่ ๓ ได้ เช่าซื้อ รถคันพิพาทจากบริษัท ช. แต่ ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถจึงยังเป็นของบริษัท ช. เมื่อบริษัท ช. ประกันภัยรถคันพิพาทไว้กับจำเลยที่ ๔ ตกลงกันว่าจำเลยที่ ๔ จะถือ บุคคลใด ซึ่ง ขับขี่รถยนต์ โดย ได้รับความยินยอมจากบริษัท ช. ผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเองซึ่ง หมายความว่า นอกจากรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยทำละเมิดต่อ ผู้อื่นแล้ว จำเลยที่ ๔ ยังยอมรับผิดในกรณีที่ผู้อื่นเป็นผู้ทำละเมิดโดย ผู้นั้นได้ ขับขี่รถคันที่จำเลยที่ ๔ รับประกันภัยไว้โดย ความยินยอมของผู้เอาประกันภัยจำเลยที่ ๔ จึงต้อง ร่วมรับผิดด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 275/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ครอบครองรถยนต์และบริษัทประกันภัยต่อความเสียหายจากละเมิดของลูกจ้างผู้ขับขี่
จำเลยที่ 3 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ คันเกิดเหตุได้ ให้จำเลยที่ 1 ซึ่ง เป็นลูกจ้างขับรถคันดังกล่าว แม้จำเลยที่ 3 จะนำรถไปประกอบการขนส่งในนามของจำเลยที่ 2 ซึ่ง มีใบอนุญาตประกอบการขนส่งก็ตาม ยังถือได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 การที่จำเลยที่ 3 ใช้ ให้จำเลยที่ 1 ลูกจ้างขับรถคันเกิดเหตุไปบรรทุกหินซึ่ง เป็นกิจการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ในระหว่างทางแม้จำเลยที่ 1 จะรับจ้างบุคคลอื่นนำคนป่วยไปส่งโรงพยาบาลตามลำพังโดย ไม่ได้ขออนุญาตจำเลยที่ 3 เสียก่อนก็ตามแต่ เมื่อการรับจ้างนั้นอยู่ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงต้อง ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้ กระทำไป จำเลยที่ 3 ได้ เช่าซื้อ รถคันพิพาทจากบริษัท ช. แต่ ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถจึงยังเป็นของบริษัท ช. เมื่อบริษัท ช. ประกันภัยรถคันพิพาทไว้กับจำเลยที่ 4 ตกลงกันว่าจำเลยที่ 4 จะถือ บุคคลใด ซึ่ง ขับขี่รถยนต์ โดย ได้รับความยินยอมจากบริษัท ช. ผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเองซึ่ง หมายความว่า นอกจากรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยทำละเมิดต่อ ผู้อื่นแล้ว จำเลยที่ 4 ยังยอมรับผิดในกรณีที่ผู้อื่นเป็นผู้ทำละเมิดโดย ผู้นั้นได้ ขับขี่รถคันที่จำเลยที่ 4 รับประกันภัยไว้โดย ความยินยอมของผู้เอาประกันภัยจำเลยที่ 4 จึงต้อง ร่วมรับผิดด้วย.