พบผลลัพธ์ทั้งหมด 558 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 627/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลูกหนี้ร่วม ความรับผิด ค่าเสียหายซ้ำซ้อน การวินิจฉัยข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์
ปัญหาที่ว่าเมื่อโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 หรือปลดหนี้ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 2 ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น มิใช่ปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ค่าเสียหายที่ขาดรายได้ตามปกติ เป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับตัวเงินที่โจทก์ต้องขาดไป เพราะไม่สามารถประกอบการงานได้ในระหว่างที่ต้องรักษาตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 ส่วนค่าเสียหายในการเจ็บป่วยก็คือค่าที่โจทก์ต้องเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย เป็นค่าสินไหมทดแทนความเสียหายอย่างอื่นที่มิใช่เป็นตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ไม่ใช่ค่าเสียหายอย่างเดียวกัน ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายทั้งสองอย่างนี้ให้แก่โจทก์ได้ไม่เป็นการซ้ำซ้อนกัน
ค่าเสียหายที่ขาดรายได้ตามปกติ เป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับตัวเงินที่โจทก์ต้องขาดไป เพราะไม่สามารถประกอบการงานได้ในระหว่างที่ต้องรักษาตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 ส่วนค่าเสียหายในการเจ็บป่วยก็คือค่าที่โจทก์ต้องเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย เป็นค่าสินไหมทดแทนความเสียหายอย่างอื่นที่มิใช่เป็นตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ไม่ใช่ค่าเสียหายอย่างเดียวกัน ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายทั้งสองอย่างนี้ให้แก่โจทก์ได้ไม่เป็นการซ้ำซ้อนกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีอาญาโดยให้ยกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ และการวินิจฉัยข้อหาอื่นแม้ศาลชั้นต้นตัดสินไปแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าคน ตามมาตรา 288,80 และฐานพกพาอาวุธปืน ตาม มาตรา371 ให้เรียงกระทงลงโทษโดยจำคุกและปรับ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิดในคดีนี้ก็หยิบยกประเด็นข้อหาในเรื่องการพกพาอาวุธปืน ซึ่งแม้จะยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์เสียด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3338-3339/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การทำให้ประเด็นแย่งการครอบครองไม่ได้รับการวินิจฉัย ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยให้การเป็นพยานเบิกความว่าแย่งการครอบครอง ข้อนี้ไม่เป็นประเด็น เพราะจำเลยมิได้ยื่นคำให้การ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2531/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยกรณีเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำผิดพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ขอให้ศาลบังคับจำเลยรับโจทก์เข้าเป็นข้าราชการตามเดิม และสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการนั้นเสีย ดังนี้ เป็นเรื่องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งลงโทษทางวินัย ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของราชการฝ่ายบริหารโดยเฉพาะ ศาลไม่มีอำนาจเข้าไปวินิจฉัยชี้ขาดในกรณีเช่นนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริง หากอุทธรณ์ต้องห้าม ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาอำนาจฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินส่วนทางด้านทิศเหนือจากโจทก์ครบกำหนดเช่าและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยไม่ยอมออกเป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ขอให้ขับไล่ จำเลยให้การว่าทำสัญญาเช่าจากโจทก์ด้านทิศใต้และตรงที่เว้นเป็นทางเข้าออกของที่ดินส่วนทางทิศเหนือ ที่ดินส่วนทางทิศเหนือนั้นจำเลยทำสัญญาเช่าจาก บ. ไม่ได้เช่าจากโจทก์ เป็นเรื่องที่คู่ความโต้เถียงกันว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินส่วนไหนจากโจทก์ ไม่ใช่เรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญา
ศาลอุทธรณ์จะยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นมาวินิจฉัยเองได้ก็ต่อเมื่ออุทธรณ์นั้นเป็นอุทธรณ์ที่จะต้องรับไว้พิจารณาเสียก่อน ถ้าอุทธรณ์นั้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ทั้งฉบับเสียแล้วศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ และแม้ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฎีกาได้
ศาลอุทธรณ์จะยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นมาวินิจฉัยเองได้ก็ต่อเมื่ออุทธรณ์นั้นเป็นอุทธรณ์ที่จะต้องรับไว้พิจารณาเสียก่อน ถ้าอุทธรณ์นั้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ทั้งฉบับเสียแล้วศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ และแม้ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1269-1273/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานและการอุทธรณ์คำสั่งในคดีภาษีอากร: การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นสาระสำคัญ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยเห็นว่าตามคำฟ้อง คำให้การ และเอกสารที่คู่ความส่งศาล ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้แล้วไม่จำเป็นต้องสืบพยานฟังข้อเท็จจริงอีกต่อไป แล้วยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายให้ยกฟ้องโจทก์ ดังนี้ เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งไม่ถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานดังกล่าวได้โดยไม่จำเป็นต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้
ประเด็นข้อสำคัญของคดีทั้ง 5 สำนวนซึ่งพิจารณารวมกันมีว่า เงินที่สาขาธนาคารโจทก์ในกรุงเทพฯ จ่ายให้สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นในต่างประเทศเป็นรายจ่ายที่ต้องห้ามในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ตรี (9)(10)(11) หรือไม่ และเงินดังกล่าวถือว่าเป็นกำไรซึ่งโจทก์จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามมาตรา70 ทวิหรือไม่ ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างว่าเงินดังกล่าวไม่ใช่ดอกเบี้ยที่คิดสำหรับเงินทุนเงินสำรองหรือเงินกองทุนของตนเอง ไม่ใช่เงินกำไรหรือกันไว้จากกำไร แต่เป็นเงินได้ที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายและเป็นรายจ่ายที่จะทำให้ได้กำไรมาสำหรับดำเนินกิจการสาขาธนาคารโจทก์ในประเทศไทยโดยเฉพาะไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13)(14) จึงถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้จำเลยต่อสู้ว่าการจ่ายเงินดังกล่าวภายในธุรกิจนิติบุคคลเดียวกันต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ตรี (9)(10)(11) และถือว่าโจทก์จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามมาตรา 70 ทวิ กับต่อสู้เกี่ยวกับข้อที่โจทก์อ้างว่ามีค่าใช้จ่ายโดยต่อสู้ด้วยว่า โจทก์จะยกเรื่องค่าใช้จ่ายนำมาฟ้องไม่ได้เพราะไม่ได้ยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ดังนี้ การที่จะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวข้างต้นจะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่คู่ความโต้เถียงกันเสียก่อนว่า เงินที่สาขาธนาคารโจทก์ในกรุงเทพฯจ่ายไปนั้นเป็นเงินที่จ่ายไปตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือตามที่จำเลยต่อสู้และมีค่าใช้จ่ายหรือไม่ทั้งโจทก์ยกเรื่องค่าใช้จ่ายขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือไม่นอกจากนี้ในบางสำนวนยังมีข้อเท็จจริงที่คู่ความโต้เถียงกันอยู่ เกี่ยวกับโจทก์จำหน่ายเงินกำไรออกไปเมื่อไรก่อนหรือหลังมาตรา 70 ทวิใช้บังคับเจ้าพนักงานประเมินคำนวณภาษีถูกต้องหรือไม่ ประเมินให้ชำระภาษีซ้ำหรือไม่ โจทก์ชำระเงินภาษีบางปีไปโดยผิดหลงหรือไม่ ทำให้โจทก์เสียเปรียบหรือไม่ คดีขาดอายุความหรือไม่ โจทก์จำหน่ายเงินออกไปต่างประเทศจำนวนเท่าใด กันไว้เป็นเงินสำรองหรือไม่ ดังนั้นย่อมจำเป็นต้องสืบพยานของจำเลยทั้งสองฝ่ายเพื่อฟังข้อเท็จจริงให้ยุติเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยได้ การที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนทั้ง 5 สำนวนที่พิจารณารวมกันไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความแล้วพิพากษาใหม่จึงชอบแล้ว
ประเด็นข้อสำคัญของคดีทั้ง 5 สำนวนซึ่งพิจารณารวมกันมีว่า เงินที่สาขาธนาคารโจทก์ในกรุงเทพฯ จ่ายให้สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นในต่างประเทศเป็นรายจ่ายที่ต้องห้ามในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ตรี (9)(10)(11) หรือไม่ และเงินดังกล่าวถือว่าเป็นกำไรซึ่งโจทก์จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามมาตรา70 ทวิหรือไม่ ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างว่าเงินดังกล่าวไม่ใช่ดอกเบี้ยที่คิดสำหรับเงินทุนเงินสำรองหรือเงินกองทุนของตนเอง ไม่ใช่เงินกำไรหรือกันไว้จากกำไร แต่เป็นเงินได้ที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายและเป็นรายจ่ายที่จะทำให้ได้กำไรมาสำหรับดำเนินกิจการสาขาธนาคารโจทก์ในประเทศไทยโดยเฉพาะไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13)(14) จึงถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้จำเลยต่อสู้ว่าการจ่ายเงินดังกล่าวภายในธุรกิจนิติบุคคลเดียวกันต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ตรี (9)(10)(11) และถือว่าโจทก์จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามมาตรา 70 ทวิ กับต่อสู้เกี่ยวกับข้อที่โจทก์อ้างว่ามีค่าใช้จ่ายโดยต่อสู้ด้วยว่า โจทก์จะยกเรื่องค่าใช้จ่ายนำมาฟ้องไม่ได้เพราะไม่ได้ยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ดังนี้ การที่จะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวข้างต้นจะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่คู่ความโต้เถียงกันเสียก่อนว่า เงินที่สาขาธนาคารโจทก์ในกรุงเทพฯจ่ายไปนั้นเป็นเงินที่จ่ายไปตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือตามที่จำเลยต่อสู้และมีค่าใช้จ่ายหรือไม่ทั้งโจทก์ยกเรื่องค่าใช้จ่ายขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือไม่นอกจากนี้ในบางสำนวนยังมีข้อเท็จจริงที่คู่ความโต้เถียงกันอยู่ เกี่ยวกับโจทก์จำหน่ายเงินกำไรออกไปเมื่อไรก่อนหรือหลังมาตรา 70 ทวิใช้บังคับเจ้าพนักงานประเมินคำนวณภาษีถูกต้องหรือไม่ ประเมินให้ชำระภาษีซ้ำหรือไม่ โจทก์ชำระเงินภาษีบางปีไปโดยผิดหลงหรือไม่ ทำให้โจทก์เสียเปรียบหรือไม่ คดีขาดอายุความหรือไม่ โจทก์จำหน่ายเงินออกไปต่างประเทศจำนวนเท่าใด กันไว้เป็นเงินสำรองหรือไม่ ดังนั้นย่อมจำเป็นต้องสืบพยานของจำเลยทั้งสองฝ่ายเพื่อฟังข้อเท็จจริงให้ยุติเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยได้ การที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนทั้ง 5 สำนวนที่พิจารณารวมกันไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความแล้วพิพากษาใหม่จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวนของศาลอุทธรณ์ และการกลับคำพิพากษาโดยศาลฎีกา
คดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นหากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนศาลฎีกาไม่ต้องถือตาม และวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงใหม่กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินเคยถูกวินิจฉัยในคดีก่อน แม้ศาลวินิจฉัยตามคำท้า ก็ถือเป็นการวินิจฉัยกรรมสิทธิ์แล้ว
จำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์ให้รื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของจำเลย และให้โจทก์ส่งมอบที่พิพาทคืน โจทก์ให้การต่อสู้คดีแล้วได้มีการท้ากันและโจทก์แพ้คดีตามคำท้า โจทก์มาฟ้องใหม่ว่าที่ดินซึ่งโจทก์ปลูกบ้านอยู่นอกเขตที่ดินของจำเลย ไม่ใช่ของจำเลย ดังนี้ คดีก่อนที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์มีประเด็นอยู่ว่าที่ดินที่จำเลยฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยหรือไม่ และที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็มีประเด็นที่จะให้ศาลวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ แม้ในคดีก่อนศาลจะมิได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยตรงเพราะคู่ความตกลงท้ากัน แต่เมื่อศาลได้วินิจฉัยตามคำท้าของคู่ความแล้ว ก็ต้องถือว่าศาลได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์ที่พิพาทด้วย ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าคู่ความในคดีก่อนและคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันและคดีก่อนถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีมาฟ้องใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ที่ดินต่างโฉนด แม้มีที่มาจากการแบ่งแยกเดิม ศาลรับฟังได้หากประเด็นกรรมสิทธิ์ยังไม่เคยถูกวินิจฉัย
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยกับพวกจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินบางส่วนในโฉนดเลขที่ 453 ซึ่งโจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามคำสั่งศาลครั้นช่างแผนที่ไปทำแผนที่พิพาทในคดีดังกล่าว กลับปรากฏว่าโจทก์นำชี้ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตโฉนดเลขที่ 1908 มิใช่อยู่ในเขตโฉนดเลขที่ 453 ดังโจทก์ฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดสืบพยานทั้ง สองฝ่ายแล้วพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 453 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อ้างว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินโฉนดเลขที่1908 ซึ่งจำเลยแบ่งแยกออกจากโฉนดเลขที่ 453 เดิม ดังนี้ ที่พิพาทในคดีก่อนกับคดีนี้จึงเป็นที่ดินคนละโฉนดกันและประเด็นคดีนี้ที่ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทในโฉนดเลขที่ 1908 โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ คดีก่อนยังไม่ได้วินิจฉัย จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความเป็นผู้ทรงเช็ค: ศาลไม่ต้องยึดตามคำพิพากษาคดีอาญา หากไม่ได้วินิจฉัยถึงความเป็นผู้ทรง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้เงินตามเช็คให้แก่โจทก์ โดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบ จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลฎีกาพิพากษาคดีส่วนอาญาเกี่ยวกับเช็คพิพาทว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังนี้เมื่อปรากฏว่าศาลฎีกาวินิจฉัยในคดีอาญาเพียงว่า จำเลยออกเช็คให้ อ. โดย อ.ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีเงินในขณะออกเช็ค แม้เช็คดังกล่าวมาตกอยู่แก่โจทก์จำเลยก็ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ศาลฎีกามิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็ค จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จะต้องฟ้องข้อเท็จจริงตามคดีส่วนอาญาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คหรือไม่ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฎีกาจำเลย