พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,865 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3879/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คชำระหนี้ที่ไม่มีอยู่จริงตามกฎหมายเช็ค ถือว่าไม่เป็นความผิด
ไม่มีพยานหลักฐานอันใดของโจทก์และโจทก์ร่วมบ่งชี้ว่าพี่สาวจำเลยยินยอมให้จำเลยชำระเงินที่โจทก์ร่วมอ้างว่าพี่สาวจำเลยยักยอกไปแทนพี่สาวจำเลย ทั้งคดีที่พี่สาวจำเลยถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินของโจทก์ร่วมนั้น พี่สาวจำเลยก็ให้การปฏิเสธ จนพนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการดำเนินการต่อไปแล้ว แต่พนักงานอัยการยังไม่ได้ฟ้องพี่สาวจำเลยต่อศาล ดังนั้น เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วม จึงไม่อาจฟังว่าพี่สาวจำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไปโดยพลการ อันทำให้ต้องใช้เงินคืนแก่โจทก์ร่วม เป็นเหตุให้ยังไม่มีหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ร่วมแทนพี่สาวจำเลยด้วยการทำสัญญากู้เงินของโจทก์ร่วม การที่จำเลยออกเช็คในคดีนี้มอบแก่โจทก์ร่วมตามสัญญากู้เงินดังกล่าว จึงไม่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3879/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงตามกฎหมายเช็ค
การออกเช็คที่มีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 นั้นจะต้องปรากฏว่ามีหนี้ที่จะต้องชำระแก่กันอยู่ และเป็นหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย และผู้ออกเช็คได้ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวโดยมีลักษณะหรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามอนุมาตราใดอนุมาตราหนึ่งของมาตรา 4 นั้น และผู้ทรงเช็คได้ยื่นเช็คต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมายและธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น คดีนี้โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วม จำเลยต้องการชดใช้เงินแก่โจทก์ร่วมแทนพี่สาวจำเลยจึงทำเป็นสัญญากู้เงินโจทก์ร่วมเท่าจำนวนเงินที่โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกไป และออกเช็คมอบแก่โจทก์ร่วมเพื่อใช้หนี้ตามสัญญากู้เงินดังกล่าว แต่เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาว่าพี่สาวจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วม จึงไม่อาจฟังว่าพี่สาวจำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไปโดยพลการอันทำให้ต้องใช้เงินคืนแก่โจทก์ร่วม เป็นเหตุให้ยังไม่มีหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ร่วมแทนพี่สาวจำเลยด้วยการทำสัญญากู้เงินของโจทก์ร่วม การที่จำเลยออกเช็คในคดีนี้มอบแก่โจทก์ร่วมตามสัญญากู้เงินดังกล่าวจึงไม่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงอันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของตัวแทนจำหน่าย: จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดส่วนตัวในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็ค หากกระทำภายในขอบอำนาจ
สัญญาตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมนั้น คู่สัญญาคือจำเลยที่ 1กับโจทก์เท่านั้น จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ด้วย เพียงแต่ว่าโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยที่ 1 กำหนดเงื่อนไขการชำระราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่จำเลยที่ 1 สั่งซื้อจากโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 จะชำระเป็นเช็คและกำหนดตัวผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คในนามของจำเลยที่ 1 ได้ คือจำเลยที่ 2 หรือที่ 3 และเช็คที่สั่งจ่ายต้องเป็นเช็คของธนาคารที่ระบุไว้ในข้อตกลงเท่านั้น ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คทั้ง 15 ฉบับ ตามฟ้อง จำเลยที่ 3 จึงกระทำไปในฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1เท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 กระทำนอกเหนือขอบอำนาจในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว
ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระแก่โจทก์เท่านั้น ไม่มีข้อความในคำฟ้องที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยที่ 3รับผิดตามเช็คที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย และเมื่อมีการชี้สองสถานศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ในข้อ 2 เพียงว่า จำเลยทั้งสามซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมตามฟ้อง แล้วค้างชำระราคา จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชำระค่าสินค้าและค่าปรับแก่โจทก์ดังฟ้องหรือไม่ ดังนั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 หรือไม่จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในประเด็นนี้จึงชอบแล้ว
ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระแก่โจทก์เท่านั้น ไม่มีข้อความในคำฟ้องที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยที่ 3รับผิดตามเช็คที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย และเมื่อมีการชี้สองสถานศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ในข้อ 2 เพียงว่า จำเลยทั้งสามซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมตามฟ้อง แล้วค้างชำระราคา จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชำระค่าสินค้าและค่าปรับแก่โจทก์ดังฟ้องหรือไม่ ดังนั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 หรือไม่จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในประเด็นนี้จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนจำหน่ายปิโตรเลียม: ความรับผิดของตัวแทนเมื่อลงลายมือชื่อเช็คในฐานะตัวแทนของตัวการ
สัญญาตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตเลียมนั้นคู่สัญญาคือจำเลยที่1กับโจทก์เท่านั้นจำเลยที่3ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ด้วยเพียงแต่ว่าโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยที่1กำหนดเงื่อนไขการชำระราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่จำเลยที่1สั่งซื้อจากโจทก์ว่าจำเลยที่1จะชำระเป็นเช็คและกำหนดตัวผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คในนามของจำเลยที่1ได้คือจำเลยที่2หรือที่3และเช็คที่สั่งจ่ายต้องเป็นเช็คของธนาคารที่ระบุไว้ในข้อตกลงเท่านั้นดังนั้นการที่จำเลยที่3ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คทั้ง15ฉบับตามฟ้องจำเลยที่3จึงกระทำไปในฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยที่1เท่านั้นเมื่อไม่ปรากฎว่าจำเลยที่3กระทำนอกขอบอำนาจในฐานะตัวแทนของจำเลยที่1ซึ่งเป็นตัวการจำเลยที่3จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่จำเลยที่1ค้างชำระแก่โจทก์เท่านั้นไม่มีข้อความในคำฟ้องที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยที่3รับผิดตามเช็คที่จำเลยที่3เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและเมื่อมีการชี้สองสถานศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ในข้อ2เพียงว่าจำเลยทั้งสามซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมตามฟ้องแล้วค้างชำระราคาจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชำระค่าสินค้าและค่าปรับแก่โจทก์ดังฟ้องหรือไม่ดังนั้นปัญหาที่ว่าจำเลยที่3จะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา900หรือไม่จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในประเด็นนี้จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คที่ไม่มีเงินในบัญชีถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค แม้แปลงหนี้เป็นสัญญากู้ยืม
จำเลยออกเช็คนำไปแลกเงินสดจากโจทก์ แม้การออกเช็คของจำเลยดังกล่าวจะมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 มาตรา 4 ก็ตาม แต่การที่จำเลยออกเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากโจทก์และเช็คดังกล่าวไม่มีการชำระเงินตามที่จำเลยสั่งจ่ายนั้น ย่อมเกิดเป็นหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็คนั้น ตาม ป.พ.พ.มาตรา 898, 900ในกรณีนี้หากจำเลยออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ดังกล่าว เช็คที่จำเลยออกในภายหลังนี้ย่อมถือว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ได้
คดีนี้โจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็ค มาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืม และจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม จึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามความใน พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534มาตรา 4 แล้ว จำเลยจึงมีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม และเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า "บัญชีปิดแล้ว" แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ตามที่โจทก์ฟ้อง
คดีนี้โจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็ค มาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืม และจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม จึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามความใน พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534มาตรา 4 แล้ว จำเลยจึงมีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม และเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า "บัญชีปิดแล้ว" แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้หลังแปลงหนี้เดิมเป็นสัญญากู้ยืม การปฏิเสธการจ่ายเงินถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
จำเลยออกเช็คนำไปแลกเงินสดจากโจทก์ แม้การออกเช็คของจำเลยดังกล่าวจะมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ก็ตาม แต่การที่จำเลยออกเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากโจทก์และเช็คดังกล่าวไม่มีการชำระเงินตามที่จำเลยสั่งจ่ายนั้นย่อมเกิดเป็นหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 898,900 ในกรณีนี้หากจำเลยออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ดังกล่าว เช็คที่จำเลยออกในภายหลังนี้ย่อมถือว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ได้ คดีนี้โจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็คมาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืม และจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม จึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 แล้ว จำเลยจึงมีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม และเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินปรากฎว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า "บัญชีปิดแล้ว" แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้ทีการใช้เงินตามเช็คนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 ตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เดิม แม้ไม่ใช่หนี้เดิมโดยตรง ก็ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็คได้
แม้การที่จำเลยออกเช็คนำไปแลกเงินสดจากโจทก์จะมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายก็ตามแต่การที่จำเลยออกเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากโจทก์และเช็คดังกล่าวไม่มีการชำระเงินตามที่จำเลยสั่งจ่ายนั้นย่อมเกิดเป็นหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา898,900ซึ่งในกรณีนี้หากจำเลยออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ดังกล่าวเช็คที่จำเลยออกในภายหลังนี้ย่อมถือว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากใช้เช็คฯมาตรา4ได้เมื่อปรากฎว่าต่อมาโจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็คมาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมและจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมจึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินและธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินจึงถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่แปลงจากหนี้เดิม แม้ไม่ใช่หนี้เดิมโดยตรง ก็ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คได้
จำเลยออกเช็คนำไปแลกเงินสดจากโจทก์แม้การออกเช็คของจำเลยดังกล่าวจะมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4ก็ตามแต่การที่จำเลยออกเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากโจทก์และเช็คดังกล่าวไม่มีการชำระเงินตามที่จำเลยสั่งจ่ายนั้นย่อมเกิดเป็นหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา898,900ในกรณีนี้หากจำเลยออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ดังกล่าวเช็คที่จำเลยออกในภายหลังนี้ย่อมถือว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4ได้ คดีนี้โจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็คมาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมและจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมจึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4แล้วจำเลยจึงมีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมและเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินปรากฎว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า"บัญชีปิดแล้ว"แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้ทีการใช้เงินตามเช็คนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4ตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2792/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้ทรงเช็ค: การกระทำแทนตัวการสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างผู้ทรงเช็คและผู้สั่งจ่าย
จำเลยมาขอกู้ยืมเงินจาก ส. แต่ ส. ไม่มีเงินสดพอจึงได้ติดต่อขอให้โจทก์ยินยอมให้จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ เมื่อโจทก์ตกลงให้กู้จึงได้นำเงินมามอบให้แก่ ส. เพื่อส่งมอบให้จำเลย ซึ่งจำเลยได้รับเงินไปจาก ส. และมอบเช็คพิพาทให้ ส. ไปเป็นเช็คเงินสดหรือผู้ถือที่จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่าย การที่ ส. ส่งมอบเงินให้จำเลยและรับเช็คพิพาทจากจำเลยไว้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำแทนโจทก์ในฐานะตัวการ เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ ส. นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีของโจทก์ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คและมีนิติสัมพันธ์กับจำเลย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จในคดีเช็ค: ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเช็ค และความสำคัญของการชำระหนี้จริง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทให้ ส.ยึดถือไว้แทนสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์กู้ยืมเงินไปจาก ส.แต่จำเลยเบิกความเป็นพยานโจทก์คดีอาญาซึ่ง ส.ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ว่า โจทก์ออกเช็คพิพาทแลกเงินสดไปจากจำเลยอันเป็นการออกเช็คพิพาทให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์ฟ้อง คำเบิกความของจำเลยย่อมเป็นความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าวจำเลยย่อมมีความผิดตามฟ้อง แต่เนื่องจากในขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ปรากฏว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ซึ่งเป็นกฎหมายในคดีเดิมที่โจทก์นำมาเป็นมูลในการฟ้องคดีนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้วและมีกฎหมายฉบับใหม่ คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ออกมาใช้บังคับแทน ซึ่งการออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้นต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ส่วนกรณีการออกเช็คพิพาทแล้วแลกเงินสดมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 อีกต่อไป ดังนี้ คำเบิกความของจำเลยในคดีนั้นจึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดีอันจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ