คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9591/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับผิดในฐานะตัวการตัวแทนและขอบเขตการฎีกาในประเด็นที่มิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 4 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 มิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทน จำเลยที่ 4 เป็นตัวการ อันเป็นหลักแห่งข้อหาที่จะให้จำเลยที่ 4 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะตัวการตัวแทนตามมาตรา 427 การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 4 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการตัวแทนจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 โจทก์ไม่อุทธรณ์ปัญหานี้จึงยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของโจทก์ในปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9388/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลไม่รับอุทธรณ์ถือเป็นที่สุด ห้ามฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งข้างต้น เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ กรณีเช่นนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 9 จึงเป็นที่สุดตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 236 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามมิให้ฎีกาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยต่อมาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9339/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฎีกาในคดีค่าปรับจากการผิดสัญญาประกันตัว: ศาลชั้นต้นรับฎีกาไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. ม.119
ผู้ประกันขอลดและขอผ่อนชำระค่าปรับ ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ผู้ประกันอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 119 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของผู้ประกันจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9188/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจอนุญาตฎีกาในข้อเท็จจริง: อธิบดีผู้พิพากษาภาคไม่มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริง และบุคคลผู้มีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาได้ตามมาตราดังกล่าวก็บัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้วว่า คือ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติว่าด้วยผู้มีอำนาจอนุญาตให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลมได้ ดังนั้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 จึงไม่มีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8863/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจากตัวการเป็นผู้สนับสนุนในคดียาเสพติด ศาลฎีกาห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 จำคุก 5 ปี และปรับ 400,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประกอบ ป.อ. มาตรา 86 จำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท เท่ากับว่าศาลอุทธรณ์แก้บทที่ลงโทษเฉพาะเกี่ยวกับลักษณะแห่งการกระทำความผิดกับโทษที่ลงแก่จำเลยที่ 2 โดยแก้จากต้องร่วมรับผิดฐานเป็นตัวการตาม ป.อ. มาตรา 83 มาเป็นฐานผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86 จำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไม่เกินห้าปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8734/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 เมื่อไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ฎีกาของจำเลยคัดลอกข้อความจากอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมด เนื้อหาในฎีกาเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นทั้งสิ้น แม้คำขอท้ายฎีกาจะเป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แต่ฎีกาของจำเลยก็เป็นการโต้แย้งคัดค้านเฉพาะคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้โต้แย้งคัดค้านว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาไม่ชอบอย่างไร โดยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อ้างเหตุคนละอย่างกับเหตุที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8281/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตคำขอท้ายฟ้องอาญา การพิพากษาเกินคำขอ และการยกข้อกฎหมายใหม่ในชั้นฎีกา
รายการในฟ้องส่วนที่เป็นคำขอท้ายฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (6) ระบุแต่เพียงให้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดเท่านั้น หาได้บังคับว่าต้องระบุวรรคมาด้วยไม่ ดังนั้น แม้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 339 โดยไม่ได้ระบุวรรคมาด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังฟ้อง ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสอง ได้ มิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ปัญหาดังกล่าวแม้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น แต่ก็เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7820/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งนัดพิจารณาคดีผ่านทนายความ และผลของการไม่ยื่นฎีกาภายในกำหนด
เมื่อทนายโจทก์ได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยชอบแล้วและในใบแต่งทนายความโจทก์มอบอำนาจให้ทนายโจทก์ดำเนินการแทนโจทก์ถึงชั้นอุทธรณ์และฎีกา กรณีนี้ย่อมถือได้ว่าโจทก์ทราบนัดโดยชอบแล้ว โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างว่าไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาวันที่ 10 มกราคม 2551 ซึ่งล่วงเลยกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาของโจทก์แล้ว โดยโจทก์ต้องยื่นฎีกาภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ 3 เมษายน 2550 อีกทั้งที่โจทก์อ้างว่าไม่ได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 และนับแต่ยื่นอุทธรณ์แล้วโจทก์ไม่เคยได้รับการติดต่อจากทนายโจทก์ให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่โจทก์จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาภายหลังจากสิ้นระยะเวลาฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาของโจทก์นั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7820/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งนัดพิจารณาคดีและการขยายระยะเวลายื่นฎีกา: ทนายความได้รับแจ้งนัดแทนโจทก์ ถือว่าโจทก์ทราบแล้ว
เมื่อทนายโจทก์ได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยชอบแล้วและในใบแต่งทนายความโจทก์มอบอำนาจให้ทนายโจทก์ดำเนินการแทนโจทก์ถึงชั้นอุทธรณ์และฎีกา กรณีนี้ย่อมถือได้ว่าโจทก์ทราบนัดโดยชอบแล้ว โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างว่าไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เป็นเรื่องที่โจทก์และทนายโจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันเอง เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาล่วงเลยกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา ซึ่งต้องยื่นภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 อีกทั้งกรณีไม่ใช่เหตุสุดวิสัยที่โจทก์จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาภายหลังสิ้นระยะเวลาฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7606/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา และแก้ไขโทษฐานพาอาวุธปืน
ในชั้นอุทธรณ์จำเลยได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้ยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยก็ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ยกขึ้นวินิจฉัยนั้นไม่ชอบแต่อย่างไร การที่จำเลยยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นฎีกาซ้ำอีก ถือได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกา และไม่ได้เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ทั้งมิได้เป็นข้อความที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้ตัดสินไว้ จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ได้
of 303