พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,220 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: คดีเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินเพื่อชำระหนี้ภาษีอากร ไม่ใช่คดีภาษีโดยตรง
แม้ขณะโจทก์ยื่นฟ้อง ได้จัดตั้งแผนกคดีภาษีอากรขึ้นในศาลแพ่งซึ่งเปิดทำการเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2529 มีอำนาจและเขตอำนาจเช่นเดียวกับศาลภาษีอากรกลาง ซึ่งต่อมาเปิดทำการเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2529 ก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดตราจองกลับคืนมาเป็นมรดกของ น. เจ้ามรดกที่ค้างชำระหนี้ค่าภาษีอากรอยู่แก่โจทก์ จึงมิใช่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรตามมาตรา 7(2) และไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของแผนกคดีภาษีอากรของศาลแพ่งตามมาตรา31 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 10 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: คดีเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินเพื่อชำระหนี้ภาษีอากร ไม่เป็นคดีภาษีอากรโดยตรง
ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดสงขลา ได้มีการจัดตั้งแผนกคดีภาษีอากรขึ้นในศาลแพ่ง ซึ่งมีอำนาจและเขตอำนาจเช่นเดียวกับศาลภาษีอากรกลาง แต่คดีนี้โจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินกลับคืนมาเป็นมรดกของ น. ที่ค้างชำระค่าภาษีอากรอยู่แก่โจทก์ จึงมิใช่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ภาษีอากรตามมาตรา 7(2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 และไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของแผนกคดีภาษีอากรของศาลแพ่งตามมาตรา31 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 10 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวศาลจังหวัดสงขลารับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7494/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีแพ่ง: เอกสารท้ายคำให้การ & การต่อสู้คดีไม่ขัดแย้ง
เอกสารท้ายคำให้การที่จำเลยอ้างถึงในคำให้การถือเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การจึงไม่ต้องระบุอ้างเอกสารดังกล่าวในบัญชีระบุพยานอีกศาลรับฟังได้ การที่จำเลยไม่เสียค่าอ้างเอกสารนั้นไม่ปรากฎว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่เสียและศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งเรียกเก็บ จึงมิใช่ความบกพร่องของจำเลย ไม่ควรยกเป็นเหตุไม่รับฟังเอกสาร จำเลยให้การต่อสู้ใจความว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ตามฟ้อง ไม่เคยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ โจทก์บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่า เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิงและอ้างที่มาแห่งสัญญากู้เงินตามฟ้องว่ามีความเป็นมาอย่างไรเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งไม่ขัดกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่เชื่อว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจึงมิใช่การวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 742/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องในคดีแพ่งไม่จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดข้อเท็จจริง เพียงแสดงสภาพแห่งข้อหาให้ชัดเจนก็เพียงพอ
ในการบรรยายฟ้องคดีแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 กำหนดแต่เพียงว่าจะต้องแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น หาต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดไม่ คำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกหกล้อโดยปราศจากความระมัดระวังและเป็นเหตุให้ชนเฉี่ยวรถของโจทก์ได้รับความเสียหาย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7048/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางค่าฤชาธรรมเนียมเพื่ออุทธรณ์คดีแพ่ง: เงื่อนไขและผลของการไม่ปฏิบัติตาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ซึ่งค่าธรรมเนียมโจทก์ในคดีเป็นเงิน 32,227.50 บาทเมื่อจำเลยอุทธรณ์ก็ต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมจำนวนดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 แต่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยวางเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนโจทก์เพียง 10,000 บาท ศาลชั้นต้นสั่งในอุทธรณ์จำเลยให้นำเงินค่าธรรมเนียมส่วนที่ขาดอีก 22,247.50 บาท มาวางภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ยื่นอุทธรณ์ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์จำเลย จำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 โดยจำเลยก็มีหน้าที่ที่จะต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลด้วย แม้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมิใช่เนื้อหาของอุทธรณ์ก็ตาม แต่ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7039/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง: ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญาใช้ไม่ได้หากศาลสูงยังไม่ได้วินิจฉัย
ในคดีอาญาพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ที่ 1 ว่าบุกรุกที่ดินของจำเลย ผู้เสียหายในคดีคือจำเลย โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่ความหรือผู้เสียหายในคดีอาญา การพิพากษาข้อพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยในคดีส่วนแพ่งจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 คำพิพากษาคดีส่วนอาญาหมายถึงคำพิพากษาของศาลสูงที่ถึงที่สุดแล้ว เมื่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุดมิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ 1 ในการที่จะนำมารับฟังในคดีส่วนแพ่ง
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 คำพิพากษาคดีส่วนอาญาหมายถึงคำพิพากษาของศาลสูงที่ถึงที่สุดแล้ว เมื่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุดมิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ 1 ในการที่จะนำมารับฟังในคดีส่วนแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7039/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทครอบครองที่ดิน: คำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง หากไม่ได้วินิจฉัยกรรมสิทธิ์
ในคดีอาญาพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ที่ 1 ว่าบุกรุกที่ดินของจำเลย ผู้เสียหายในคดีคือจำเลย โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่ความหรือผู้เสียหายในคดีอาญา การพิพากษาข้อพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยในคดีส่วนแพ่งจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คำพิพากษาคดีส่วนอาญาหมายถึงคำพิพากษาของศาลสูงที่ถึงที่สุดแล้ว เมื่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุดมิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ 1ในการที่จะนำมารับฟังในคดีส่วนแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6854/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีที่มีราคาพิพาทต่ำกว่าเกณฑ์ และสัญญาประนีประนอมยอมความ
ที่พิพาทมีราคา 30,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา ฎีกาจำเลยทุกข้อล้วนแล้วเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นกล่าวอ้างทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่จำเลยได้ชำระเงินตามเช็คที่จำเลยได้สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้งวดแรกตามข้อตกลงในหนังสือรับสภาพหนี้จนครบถ้วน โดยมิได้ยกเหตุแห่งการถูกหลอกลวงให้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ขึ้นมาต่อสู้ย่อมแสดงให้เห็นว่าโจทก์ที่ 1 มิได้หลอกลวงให้จำเลยทำเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด ข้อกล่าวอ้างและการนำสืบของจำเลยที่ว่าถูกหลอกลวงให้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ จึงเป็นการกล่าวอ้างและนำสืบลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ เมื่อโจทก์ที่ 1 และจำเลยทำหนังสือมีข้อความว่าจำเลยยอมรับว่าได้เป็นหนี้โจทก์ที่ 1 จริงและตกลงชำระหนี้ดังกล่าวเป็นงวด ๆ จนครบ หากผิดนัดให้ฟ้องร้องบังคับคดีได้ทันทีข้อตกลงดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 851 แล้ว จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ที่ 1 นำดอกเบี้ยจำนวนใดที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดมารวมไว้ในจำนวนหนี้ในหนังสือรับสภาพหนี้ ศาลจะฟังว่าดอกเบี้ยที่มีรวมอยู่เป็นโมฆะซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยต่อโจทก์ที่ 1 ไม่ได้ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ที่ 1ตามหนังสือรับสภาพหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6565/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลฎีกาไม่ผูกพันข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญาที่ยังไม่ถึงที่สุด
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้
คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว
คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6565/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลฎีกาไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา หากคดีอาญาไม่ถึงที่สุด
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว