คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฉ้อโกง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 938 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตกลงซื้อขายแล้วไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่เข้าข่ายฉ้อโกง หากข้าวโพดยังมีอยู่จริงขณะเจรจา
จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้ผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายจ่ายเงินค่าข้าวโพดให้จำเลยล่วงหน้าบางส่วน ครั้นผู้เสียหายไปขอรับมอบข้าวโพด ปรากฏว่าข้าวโพดได้หายไปจากเดิมเกือบครึ่งหนึ่ง จำเลยบอกว่าไม่ขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและไม่ยอมให้นำข้าวโพดไป ผู้เสียหายทวงเงินคืน จำเลยบอกว่าไม่มีเงินคืนให้ เช่นนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายแล้วเปลี่ยนใจไม่ยอมขายให้ข้าวโพดที่จะขายมีอยู่จริงในขณะเจรจาตกลงซื้อขายกันจึงเป็นกรณีที่จำเลยประพฤติผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยเปลี่ยนใจไม่ขายข้าวโพดหลังรับเงินมัดจำ ไม่เข้าข่ายฉ้อโกง แต่เป็นการผิดสัญญา
จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้แก่ผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้จ่ายเงินค่าข้าวโพดให้จำเลยไปแล้ว ครั้นผู้เสียหายจะไปรับมอบข้าวโพด จำเลยบอกว่าไม่ขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและไม่ยอมให้นำข้าวโพดไป ผู้เสียหายทวงเงินคืน จำเลยบอกว่าไม่มีเงินคืนให้เช่นนี้ เป็นเรื่องจำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายแล้วเปลี่ยนใจไม่ยอมขาย ข้าวโพดที่จะขายมีอยู่จริง ในขณะที่เจรจาตกลงซื้อขายกัน จึงเป็นกรณีที่จำเลยประพฤติผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นจำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายข้าวโพดผิดนัด ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้แก่ผู้เสียหายและผู้เสียหายได้จ่ายเงินค่าข้าวโพดให้จำเลยไปแล้ว แต่ครั้นผู้เสียหายจะไปรับมอบข้าวโพด จำเลยบอกว่าไม่ขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและไม่ยอมให้นำข้าวโพดไป ผู้เสียหายทวงเงินคืน จำเลยบอกว่าไม่มีเงินคืนให้เช่นนี้ เป็นเรื่องจำเลยตกลงจะขายข้าวโพดแล้วเปลี่ยนใจไม่ยอมขายให้ผู้เสียหาย ข้าวโพดที่จะขายมีอยู่จริงในขณะที่เจรจาตกลงซื้อขายกัน จึงเป็นกรณีที่จำเลยประพฤติผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น จำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3596/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงและการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของพนักงานรัฐ: การหลอกลวงเพื่อหาผู้ฝากเงินไม่ใช่ความผิดฐานฉ้อโกงหากไม่ได้ทรัพย์สิน
ตามคำบรรยายฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า จำเลยได้ทำการหาผู้ฝากเงินออมสินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์ โดยหลอกลวงแจ้งเงื่อนไขในการทำสัญญาอันเป็นเท็จและโดยการหลอกลวงของจำเลยดังกล่าวทำให้ประชาชนเข้าใจผิดหลงเข้าทำสัญญาฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์กับธนาคาร ออมสิน และธนาคาร ออมสิน ได้จ่ายเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและเงินรับรองในการหาผู้ฝากและเงินสมนาคุณแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เข้าทำสัญญาฝากเงินกับธนาคาร ออมสิน แก่จำเลย กรณีดังกล่าวแม้จำเลยจะหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ แต่จำเลยก็ไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม การที่ธนาคาร ออมสิน ได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยก็เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับหรือตามสัญญาซึ่งมีข้อผูกพันที่จะต้องจ่ายให้แก่จำเลย มิใช่จ่ายให้จำเลยโดยเหตุที่จำเลยหลอกลวง และมิใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงของจำเลยการหลอกลวงของจำเลยเป็นแต่เพียงทำให้ประชาชนเข้าทำสัญญาฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์กับธนาคาร ออมสิน เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
จำเลยเป็นพนักงานธนาคาร ออมสิน สาขาสระบุรี ตำแหน่งพนักงานบริการรับใช้ มีหน้าที่เก็บกวาดบริการภายในธนาคาร และงานอื่นตามแต่ผู้จัดการจะใช้ในการหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์นั้น ธนาคารเปิดโอกาสให้พนักงานธนาคารหาเงินฝากประเภทดังกล่าวได้นอกเวลาทำการ และมีสิทธิได้รับเงินตอบแทนให้เป็นเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและค่ารับรองจากธนาคาร เป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้แก่พนักงานธนาคาร การที่จำเลยหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัว ไม่ใช่งานในหน้าที่โดยตรงของจำเลยและผู้บังคับบัญชาจำเลยก็มิได้มีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ดังนั้นแม้จะฟังได้ว่าจำเลยทำหลักฐานเท็จขอเบิกเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและค่ารับรองในการหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัว การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3596/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยไม่ได้ฉ้อโกงโดยตรง แต่ธนาคารจ่ายเงินตามระเบียบ ไม่ใช่ผลจากการหลอกลวง และการหาผู้ฝากไม่ใช่หน้าที่โดยตรง
จำเลยหาผู้ฝากเงินออมสินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์ โดยหลอกลวงแจ้งเงื่อนไขในการทำสัญญาอันเป็นเท็จทำให้ประชาชนเข้าใจผิดหลงเข้าทำสัญญาฝากเงินกับธนาคารออมสินและธนาคารออมสินได้จ่ายเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและเงินรับรองในการหาผู้ฝากและเงินสมนาคุณแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เข้าทำสัญญาฝากเงินกับธนาคารออมสินแก่จำเลย แม้จำเลยจะหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ แต่จำเลยก็ไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม การที่ธนาคารออมสินได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยก็เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับหรือตามสัญญาซึ่งมีข้อผูกพันที่จะต้องจ่ายให้แก่จำเลย มิใช่จ่ายให้จำเลยโดยเหตุที่จำเลยหลอกลวง และมิใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงของจำเลย การหลอกลวงของจำเลยเป็นแต่เพียงทำให้ประชาชนเข้าทำสัญญาฝากเงินกับธนาคารออมสินเท่านั้นจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง จำเลยเป็นพนักงานธนาคารออมสิน สาขาสระบุรี ตำแหน่งพนักงานบริการรับใช้ มีหน้าที่เก็บกวาดบริการภายในธนาคาร และงานอื่นตามแต่ผู้จัดการจะใช้ ในการหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์ ธนาคารเปิดโอกาสให้พนักงานธนาคารหาเงินฝากประเภทดังกล่าวได้นอกเวลาทำการ และมีสิทธิได้รับเงินตอบแทนให้เป็นเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและค่ารับรองจากธนาคาร เป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้แก่พนักงานธนาคาร การที่จำเลยหาผู้ฝากเงินไม่ใช่งานในหน้าที่โดยตรงของจำเลยและผู้บังคับบัญชาจำเลยก็มิได้มีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวดังนั้น แม้จำเลยทำหลักฐานเท็จขอเบิกเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและค่ารับรองในการหาผู้ฝากเงินประเภทดังกล่าว การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3596/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยแสวงหาผู้ฝากเงินโดยแจ้งเงื่อนไขเท็จ แต่ไม่ได้ทรัพย์สิน และการกระทำไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือความผิดของพนักงานในหน่วยงานของรัฐ
ตามคำบรรยายฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า จำเลยได้ทำการหาผู้ฝากเงินออมสินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์ โดยหลอกลวงแจ้งเงื่อนไขในการทำสัญญาอันเป็นเท็จและโดยการหลอกลวงของจำเลยดังกล่าวทำให้ประชาชนเข้าใจผิดหลงเข้าทำสัญญาฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์กับธนาคาร ออมสิน และธนาคาร ออมสิน ได้จ่ายเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและเงินรับรองในการหาผู้ฝากและเงินสมนาคุณแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เข้าทำสัญญาฝากเงินกับธนาคาร ออมสิน แก่จำเลย กรณีดังกล่าวแม้จำเลยจะหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ แต่จำเลยก็ไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม การที่ธนาคาร ออมสิน ได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยก็เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับหรือตามสัญญาซึ่งมีข้อผูกพันที่จะต้องจ่ายให้แก่จำเลย มิใช่จ่ายให้จำเลยโดยเหตุที่จำเลยหลอกลวง และมิใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงของจำเลยการหลอกลวงของจำเลยเป็นแต่เพียงทำให้ประชาชนเข้าทำสัญญาฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์กับธนาคาร ออมสิน เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง จำเลยเป็นพนักงานธนาคาร ออมสิน สาขาสระบุรี ตำแหน่งพนักงานบริการรับใช้ มีหน้าที่เก็บกวาดบริการภายในธนาคาร และงานอื่นตามแต่ผู้จัดการจะใช้ในการหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์นั้น ธนาคารเปิดโอกาสให้พนักงานธนาคารหาเงินฝากประเภทดังกล่าวได้นอกเวลาทำการ และมีสิทธิได้รับเงินตอบแทนให้เป็นเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและค่ารับรองจากธนาคาร เป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้แก่พนักงานธนาคาร การที่จำเลยหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัว ไม่ใช่งานในหน้าที่โดยตรงของจำเลยและผู้บังคับบัญชาจำเลยก็มิได้มีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ดังนั้นแม้จะฟังได้ว่าจำเลยทำหลักฐานเท็จขอเบิกเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและค่ารับรองในการหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัว การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 352/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลย ทำให้สิทธิในการฟ้องคดีอาญาฐานฉ้อโกงระงับ
โจทก์ร่วมเป็นฝ่ายจัดทำบันทึกเกี่ยวกับความผิดฐานฉ้อโกงแล้วเรียกจำเลยมาลงชื่อ มีใจความว่า จำเลยซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายกฎหมายของโจทก์ร่วมได้เบิกเงินค่าฤชาธรรมเนียมศาลในการฟ้องคดีไปจากโจทก์ร่วมเป็นเงิน 15,585 บาท โดยนำหนี้ดังกล่าวมารวมกับหนี้รายอื่นและจำเลยยอมให้นำเงินสะสมของจำเลยที่อยู่กับโจทก์ร่วมมาหัก แล้วจำเลยยอมชดใช้หนี้ส่วนที่เหลือให้โจทก์ร่วมภายในกำหนด60 วันเช่นนี้ ฟังได้ว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันอันมีผลทำให้สิทธิที่จะนำคดีอาญามาฟ้องต้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3327/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงการพนัน: ผู้เสียหายคือผู้ถูกหลอก ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิด การพิสูจน์ความร่วมมือของจำเลยที่ 2
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวง พ. ให้ร่วมเล่นการพนันเพื่อกันมิให้ ส. ต้องเสียเงิน พ. ถูกหลอกลวงจึงร่วมเล่นการพนันด้วย ดังนั้นการพนันจึงเป็น เหตุการณ์ อันหนึ่งที่จำเลยกับพวกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาเงินของ พ. โดยวิธีการอันแนบเนียน พ. ไม่ได้เป็นผู้สร้างเรื่องให้มีการเล่นการพนัน ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง พ. จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3327/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฉ้อโกงจากการพนัน: ผู้เสียหายคือผู้ถูกหลอกลวง ไม่ใช่ผู้สร้างสถานการณ์
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวง พ.ให้ร่วมเล่นการพนันเพื่อกันมิให้ ส.ต้องเสียเงินพ.ถูกหลอกลวงจึงร่วมเล่นการพนันด้วย ดังนั้นการพนันจึงเป็นเหตุการณ์อันหนึ่งที่จำเลยกับพวกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาเงินของ พ.โดยวิธีการอันแนบเนียน พ. ไม่ได้เป็นผู้สร้างเรื่องให้มีการเล่นการพนัน ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง พ.จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3327/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฉ้อโกงจากการพนัน: ผู้เสียหายคือผู้ถูกหลอกให้เล่น ไม่ใช่ผู้สร้างเรื่อง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวง พ. ให้ร่วมเล่นการพนันเพื่อกันมิให้ ส.ต้องเสียเงิน พ. ถูกหลอกลวงจึงร่วมเล่นการพนันด้วย ดังนั้นการพนันจึงเป็น เหตุการณ์ อันหนึ่งที่จำเลยกับพวกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาเงินของ พ. โดยวิธีการอันแนบเนียน พ. ไม่ได้เป็นผู้สร้างเรื่องให้มีการเล่นการพนัน ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง พ. จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4).
of 94