คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ดุลพินิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 923 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง เนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ 1 ไร่ 32 ตารางวาโจทก์ได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินพิพาทเพื่อขอออกโฉนดที่ดินจำเลยได้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน ขอให้เพิกถอนคำคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองออกทับที่ดินโฉนดเลขที่ 972 ของจำเลยขอให้ยกฟ้องและให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองคดีจึงมีประเด็นว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกทับโฉนดที่ดินของจำเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของใคร จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลลดค่าปรับในสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา: เบี้ยปรับเป็นดุลพินิจศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โจทก์ฟ้องเรียกค่าปรับจากจำเลยที่ทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนแม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าค่าปรับสูงเกินไปเมื่อศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรลดค่าปรับก็ย่อมทำได้เพราะค่าปรับตามสัญญาประกันชั้นสอบสวนเป็นเบี้ยปรับจึงเป็นดุลพินิจของศาลที่มีอำนาจจะลดค่าปรับให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา383

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่า 200,000 บาท และการโต้แย้งดุลพินิจศาลในการรับฟังพยานหลักฐาน
คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 14 ตุลาคม 2529 ระหว่างโจทก์กับจำเลยมีอยู่จริง การที่ศาล-อุทธรณ์มิได้หยิบยกเอาพยานเอกสารมาวินิจฉัยประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์และจำเลย กลับฟังแต่คำเบิกความของพยานบุคคลเท่านั้น ไม่ชอบด้วยเหตุผลและ ป.วิ.พ.ในเรื่องการรับฟังพยานก็ดี หรือเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสัญญากู้มีอยู่จริง โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาล จึงต้องฟังว่าสัญญากู้มีอยู่จริงก็ดี หรือค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท ก็ดี ล้วนเป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตามบทบญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริงเนื่องจากจำนวนทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท และเป็นการโต้แย้งดุลพินิจศาล
ฎีกาจำเลยที่ว่า สัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยมีอยู่จริง การที่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกเอาพยานเอกสารขึ้นมาวินิจฉัยประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์และจำเลยกลับฟังแต่คำเบิกความของพยานบุคคลไม่ชอบด้วยเหตุผลและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องการรับฟังพยานก็ดีหรือเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสัญญากู้มีอยู่จริงโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลจึงต้องฟังว่าสัญญากู้มีอยู่จริงก็ดี หรือค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ 1,000 บาทก็ดี ล้วนเป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดค่าเสียหายของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท และเป็นการโต้แย้งดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐาน
คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่าสัญญากู้ฉบับลงวันที่14ตุลาคม2529ระหว่างโจทก์กับจำเลยมีอยู่จริงการที่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกเอาพยานเอกสารมาวินิจฉัยประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์และจำเลยกลับฟังแต่คำเบิกความของพยานบุคคลเท่านั้นไม่ชอบด้วยเหตุผลและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องการรับฟังพยานก็ดีหรือเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสัญญากู้มีอยู่จริงโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลจึงต้องฟังว่าสัญญากู้มีอยู่จริงก็ดีหรือค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ1,000บาทก็ดีล้วนเป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1581/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสร้างหลุมฝังศพใกล้บ้านผู้อื่น: ละเมิด, สุสาน, ดุลพินิจเจ้าพนักงาน
ตามสภาพของหลุมฝังศพย่อมก่อให้เกิดความหวาดกลัวในเรื่องภูติผีวิญญาน และเป็นที่รังเกียจแก่ผู้ที่มิใช่ญาติผู้ตายซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ใกล้หลุมฝังศพการที่จำเลยที่ 1 สร้างหลุมฝังศพหรือฮวงซุ้ยเพื่อเก็บศพของ ส.สามีจำเลยที่ 1ในที่ดินของตนเองห่างจากบ้านของโจทก์ทั้งสองประมาณ 10 เมตร โดยที่ดินของโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 เป็นที่อยู่อาศัย ไม่เคยมีหลุมฝังศพมาก่อนและไม่ปรากฎว่าบริเวณใกล้เคียงมีหลุมฝังศพแต่อย่างใด ทั้งตามประเพณีแห่งท้องถิ่นก็ไม่นิยมให้มีการฝังศพในเขตหมู่บ้าน ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1337
พ.ร.บ. สุสานและฌาปนสถาน พ.ศ.2528 มาตรา 10 เป็นบทบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดฝังศพไว้ในสถานที่อื่นนอกจากสุสานสาธารณะหรือสุสานเอกชนเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น หากฝ่าฝืนจะต้องมีความผิด การที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ฝังศพตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงมีผลเพียงว่าจำเลยที่ 1 มิได้ตกเป็นผู้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถานฯเท่านั้น หามีผลทำให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจกระทำการใด ๆ ให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายไม่
มาตรา 10 และ 25 แห่ง พ.ร.บ.สุสานและฌาปนสถานดังกล่าวมิได้กำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องออกคำสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 10รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือเคลื่อนย้ายศพที่ฝังไว้ออกไป คงให้อำนาจแก่เจ้าพนักงาน-ท้องถิ่นที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้ดำเนินการดังกล่าวหรือไม่ก็ได้ แม้ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ถูกลงโทษฐานกระทำความผิดตามมาตรา 10 แล้ว และได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ฝังศพไว้ที่เดิมต่อไปก็ตาม แต่ปรากฎว่านายอำเภอจำเลยที่ 2 และผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ใช้ดุลพินิจอนุญาตโดยได้ดำเนินการตามขั้นตอนและอาศัยข้อมูลความเห็นที่สอดคล้องต้องกันของผู้ที่เกี่ยวข้องตามสมควรแล้ว ดังนี้การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1581/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากฮวงซุ้ยรุกล้ำ + เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจถูกต้องตามกฎหมาย
จำเลยที่1ได้ฝังศพส. สามีจำเลยที่1ไว้ก่อนแล้วจึงได้ขออนุญาตฝังศพต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นในภายหลังแม้จำเลยที่1จะได้รับอนุญาตก็มีผลเพียงทำให้จำเลยที่1ไม่เป็นผู้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถานพ.ศ.2528อีกต่อไปไม่ได้มีผลทำให้จำเลยมีอำนาจกระทำการใดๆให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่1ได้สร้างหลุมฝังศพหรือฮวงซุ้ยลงในที่ดินของจำเลยที่1เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ติดกันได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งที่ดินมาคำนึงประกอบต้องด้วยมาตรา1337แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์การกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถานพ.ศ.2528มาตรา10และมาตรา25ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนมาตรา10รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือเคลื่อนย้ายศพที่ฝังไว้ออกไปหรือไม่ก็ได้เมื่อจำเลยที่2และที่3ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฝังศพส. สามีจำเลยที่1ไว้ที่ที่ดินเดิมซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์โดยไม่ใช้อำนาจสั่งให้จำเลยที่1รื้อถอนหลุมฝังศพหรือฮวงซุ้ยออกไปได้อาศัยข้อมูลและความเห็นที่สอดคล้องต้องกันของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตามสมควรแล้วการกระทำของจำเลยที่2และที่3จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา10หรือมาตรา25ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง แม้มีการโต้แย้งดุลพินิจ
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าจำเลยที่1กระทำละเมิดยึดรถยนต์ที่โจทก์ที่1ซื้อไว้จากตัวแทนของจำเลยที่1ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายโดยโจทก์ที่1ไม่ได้รับเงินค่ารถยนต์ส่วนที่เหลือจากการขายให้โจทก์ที่2และโจทก์ที่2ต้องเสียเงินที่ชำระให้จำเลยที่1แล้วกับไม่ได้รับประโยชน์จากการใช้รถยนต์แต่ละวันจำเลยที่1ให้การต่อสู้ว่ารถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่1ไม่ได้ให้ผู้ใดเป็นตัวแทนไปขายให้โจทก์ที่1เป็นการโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคารถยนต์เมื่อโจทก์แต่ละคนต่างเรียกร้องให้จำเลยที่1รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่ตนได้รับเท่านั้นจึงเป็นหนี้ที่แบ่งแยกกันชำระได้เมื่อคดีสำหรับโจทก์แต่ละคนเป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1280/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท และการโต้แย้งดุลพินิจศาล
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองนำรถยนต์โดยสารเข้ามาจอดหรือใช้ประโยชน์ในพื้นที่เช่าของโจทก์และขอให้ชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายในอนาคตอีกเดือนละ20,000บาทจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าเป็นเรื่องผิดสัญญาเช่ามิใช่ละเมิดโดยเดิมจำเลยที่2เคยเช่าโดยค่าเช่าเดือนละ10,000บาทต่อมาโจทก์ขอขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ20,000บาทจึงไม่เช่าต่อดังนั้นจุดประสงค์ของคดีคือพิพาทกันเรื่องค่าเช่าที่ค้างและเงินค่าเสียหายส่วนคำขอของโจทก์ที่ห้ามจำเลยทั้งสองมิให้กระทำการดังกล่าวเป็นเพียงผลต่อเนื่องมาจากความประสงค์สำคัญที่ขอให้ศาลกำหนดเงินค่าเช่าและค่าเสียหายซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1257/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก: ศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาความเหมาะสมและประโยชน์สูงสุดแก่ทายาทและกองมรดก
การตั้งผู้จัดการมรดกศาลย่อมใช้ดุลพินิจคำนึงถึงความเหมาะสมประกอบกับพฤติการณ์ที่จะให้ประโยชน์แก่ทายาทและกองมรดก การที่ผู้คัดค้านอ้างว่าผู้ร้องไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ตาย ไม่ทราบว่ามีทรัพย์มรดกอะไรบ้าง ทั้งไม่ทราบเจตนาของผู้ตายว่าประสงค์จะยกทรัพย์มรดกส่วนใดให้แก่ผู้ใด ส่วนผู้คัดค้านอยู่ใกล้ชิดกับผู้ตาย รู้ว่าทรัพย์มรดกอยู่แห่งใดและทราบความประสงค์ของผู้ตายว่าต้องการยกทรัพย์มรดกส่วนใดให้แก่ผู้ใดนั้น ไม่ใช่เหตุผลที่แสดงถึงความเหมาะสมที่ผู้คัดค้านจะเป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียว ผู้ร้องไม่เป็นผู้ต้องห้ามตามกฎหมายที่จะเป็นผู้จัดการมรดก การให้ผู้ร้องและผู้คัดด้านได้จัดการมรดกร่วมกันน่าจะเป็นประโยชน์แก่ทายาทและกองมรดกมากกว่าให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียว
ผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างก็อ้างว่า ตนสมควรเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และขอให้ศาลตั้งให้ตนเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเท่านั้น คดีไม่มีประเด็นว่าทรัพย์สินใดเป็นมรดกของผู้ตาย การที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ทรัพย์สินดังกล่าวไม่ใช่มรดกของผู้ตายจึงเป็นเรื่องนอกเหนือจากคำขอและนอกประเด็น
of 93