พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,182 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4455/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยต้องรับผิดตามเช็ค หากไม่สามารถพิสูจน์ข้ออ้างเรื่องการเป็นตัวแทนได้ คดีแพ่งไม่ผูกพันกับผลคดีอาญา
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็ค เมื่อจำเลยรับว่าได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทจริงเบื้องต้นต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จำเลยให้การว่าเป็นตัวแทนของโจทก์นำเงินของโจทก์ไปลงทุนเล่นแชร์น้ำมันกับ ช.จึงสั่งจ่ายเช็คพิพาทไว้เป็นหลักฐาน เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อที่จะไม่ต้องรับผิดตามเช็ค หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงตกอยู่แก่จำเลย เมื่อจำเลยนำสืบฟังไม่ได้ตามที่ให้การต่อสู้ไว้ จำเลยย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์
คดีอาญามีผลชี้ขาดเพียงไม่มีมูลในเจตนากระทำผิดทางอาญาเท่านั้น ทั้งคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ผลแห่งคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันคดีแพ่งนี้
คดีอาญามีผลชี้ขาดเพียงไม่มีมูลในเจตนากระทำผิดทางอาญาเท่านั้น ทั้งคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ผลแห่งคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันคดีแพ่งนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4455/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สั่งจ่ายเช็คต้องรับผิดในฐานะผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย หากไม่สามารถพิสูจน์ข้ออ้างการเป็นตัวแทนได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็ค เมื่อจำเลยรับว่าได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทจริงเบื้องต้นต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จำเลยให้การว่าเป็นตัวแทนของโจทก์นำเงินของโจทก์ไปลงทุนเล่นแชร์น้ำมันกับ ช. จึงสั่งจ่ายเช็คพิพาทไว้เป็นหลักฐาน เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อที่จะไม่ต้องรับผิดตามเช็ค หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงตกอยู่แก่จำเลย เมื่อจำเลยนำสืบฟังไม่ได้ตามที่ให้การต่อสู้ไว้ จำเลยย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ คดีอาญามีผลชี้ขาดเพียงไม่มีมูลในเจตนากระทำผิดทางอาญาเท่านั้น ทั้งคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ผลแห่งคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันคดีแพ่งนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4374/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนเช่าตึก - สิทธิการฟ้องขับไล่
โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับบริษัท ท. โดยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่โจทก์ไม่เคยอาศัยอยู่ในตึกแถวพิพาทเลย จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้อาศัยอยู่ในตึกแถวพิพาท โดยจำเลยที่ 1 ได้ประกอบการค้าอยู่ในตึกแถวพิพาทด้วยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกเงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาทจำนวน 270,000 บาท ให้แก่บริษัท ท. หลังจากโจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทแล้ว จำเลยที่ 3 เป็นผู้ชำระค่าเช่าตึกแถวพิพาทในนามของโจทก์มาตลอด พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3 ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับบริษัท ท. โจทก์ย่อมไม่อาจอ้างสิทธิตามสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทมาฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4374/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่แท้จริง: ตัวแทน vs. ผู้เช่าจริง สิทธิในการฟ้องขับไล่
โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับบริษัท ท. โดยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่โจทก์ไม่เคยอาศัยอยู่ในตึกแถวพิพาทเลยจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้อาศัยอยู่ในตึกแถวพิพาท โดยจำเลยที่ 1ได้ประกอบการค้าอยู่ในตึกแถวพิพาทด้วย จำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกเงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาทจำนวน 270,000 บาท ให้แก่บริษัท ท. หลังจากโจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทแล้ว จำเลยที่ 3 เป็นผู้ชำระค่าเช่าตึกแถวพิพาทในนามของโจทก์มาตลอดพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับบริษัท ท. โจทก์ย่อมไม่อาจอ้างสิทธิตามสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทมาฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4282/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยต้องรับผิดตามเช็ค หากไม่สามารถพิสูจน์ข้ออ้างการเป็นตัวแทนได้ คดีแพ่งไม่ผูกพันผลคดีอาญา
โจทก์ทั้งสามฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็ค เมื่อจำเลยรับว่าได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทจริง เบื้องต้นต้องถือว่าโจทก์ทั้งสามเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จำเลยให้การว่าเป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสามนำเงินของโจทก์ทั้งสามไปลงทุนเล่นแชร์น้ำมันกับ ช. จึงสั่งจ่ายเช็คพิพาทไว้เป็นหลักฐาน เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อที่จะไม่ต้องรับผิดตามเช็ค หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงตกอยู่แก่จำเลย เมื่อจำเลยนำสืบฟังไม่ได้ตามที่ให้การต่อสู้ไว้ จำเลยย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสาม
ส่วนเงินจำนวน 321,600 บาท ที่จำเลยรับไปจากโจทก์ที่ 2นั้น จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด จึงต้องฟังว่าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2
คดีอาญามีผลชี้ขาดเพียงไม่มีมูลในเจตนากระทำผิดทางอาญาเท่านั้นทั้งคดีแพ่งที่โจทก์ทั้งสามฟ้องก็มิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ผลแห่งคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันคดีแพ่งนี้
ส่วนเงินจำนวน 321,600 บาท ที่จำเลยรับไปจากโจทก์ที่ 2นั้น จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด จึงต้องฟังว่าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2
คดีอาญามีผลชี้ขาดเพียงไม่มีมูลในเจตนากระทำผิดทางอาญาเท่านั้นทั้งคดีแพ่งที่โจทก์ทั้งสามฟ้องก็มิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ผลแห่งคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันคดีแพ่งนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4237/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอาวัลเช็คเกินอำนาจตัวแทน ความรับผิดของธนาคารตามหลักการตัวแทน
การที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 อาวัลเช็คพิพาทโดยการลงลายมือชื่อและประทับตราชื่อธนาคารจำเลยที่ 2 ด้านหลังเช็ค เป็นการกระทำเกินอำนาจของตัวแทน แต่ในทางปฏิบัติจำเลยที่ 2 ไม่เคยอาวัลเช็คให้ลูกค้าโดยวิธีดังกล่าวมาก่อน ที่โจทก์เข้าใจว่าเป็นการอาวัลแทนจำเลยที่ 2 เป็นความเชื่ออันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 4ที่ 5 หาใช่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่ จึงฟังไม่ได้ว่าทางปฏิบัติของจำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์มีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอาวัลเช็คนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของจำเลยที่ 4 ที่ 5 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 822 ประกอบด้วย มาตรา 921,940 และ 989
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4203/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของตัวการและตัวแทน: ฟ้องไม่ชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและหรือตัวการตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในขณะเกิดเหตุ เมื่อจำเลยที 1 ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถโจกท์เสียหาย จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยโจทก์ไม่ได้ยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำการละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หรือในกิจการแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดในการละเมิดของจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย คำฟ้องของโจทก์ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3981/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจหน้าที่ผู้อำนวยการ, การจ้างช่วง, การรับผิดในความเสียหาย, ตัวแทนช่วง, การคืนเงินผู้สมัครงาน
การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้อำนวยการของเจ้าหนี้นำงานพิมพ์ไปให้สหกรณ์กลาโหม จำกัด รับจ้างช่วง โดยไม่ได้จัดทำสัญญาจ้างตามแบบที่กำหนดจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้าเป็นตั๋วแลกเงินเต็มจำนวนค่าจ้าง และจ่ายเงินค่าจ้างแต่ละครั้งเกิน 300,000 บาท เป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบว่าด้วยการจ้าง พ.ศ. 2504 และข้อบังคับว่าด้วยการมอบอำนาจและกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการ พ.ศ. 2496ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำโดยปราศจากอำนาจ และต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 812เจ้าหนี้จึงขอรับชำระหนี้ส่วนนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 2 มีอำนาจตั้ง ส. เป็นตัวแทนช่วงให้ดำเนินกิจการจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศได้ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2496 มาตรา 22และข้อบังคับว่าด้วยการมอบอำนาจและกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการพ.ศ. 2496 ข้อ 7 เมื่อไม่ปรากฏว่า ส. เป็นผู้ไม่เหมาะสมที่จะดำเนินกิจการดังกล่าวแทนเจ้าหนี้ หรือเป็นผู้ไม่สมควรไว้วางใจจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ในการที่เจ้าหนี้ต้องคืนเงินที่ ส. เรียกรับเอาไปให้แก่ผู้สมัครงาน เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3963/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของกรรมการบริษัทจากการกระทำในกิจการของบริษัท: ตัวแทน vs. ลูกจ้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 2และเป็นผู้ควบคุมเรือของจำเลยที่ 2 โดยประมาท ถอยหลังมาชนเรือของโจทก์เสียหายทั้งสองลำ จำเลยที่ 1 กระทำในกิจการของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์คำฟ้องดังกล่าวเห็นได้ชัดว่า โจทก์มิได้ตั้งข้อหาว่าจำเลยที่ 1เป็นลูกจ้าง และกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หากแต่ตั้งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 2 ได้กระทำการในกิจการของจำเลยที่ 2 โดยประมาท ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ซึ่งหมายความว่าการควบคุมเรือของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำในกิจการของจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 1เป็นกรรมการของจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการทำแทนจำเลยที่ 2 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 จึงมิได้เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3940/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจตัวแทนฟ้องคดีล้มละลายและการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
เจ้าหนี้มอบอำนาจให้ ม. มีอำนาจดำเนินการฟ้องร้องหรือดำเนินการตามกฎหมายทั้งปวง รวมทั้งดำเนินคดีล้มละลาย ถือได้ว่าเป็นการตั้งตัวแทนเฉพาะการเพื่อให้ฟ้องคดี หาใช่เป็นการตั้งตัวแทนเฉพาะการเพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยเฉพาะ คำว่าให้มีอำนาจดำเนินคดีล้มละลายได้นั้นก็ย่อมหมายถึงคดีล้มละลายทุกคดีที่เกี่ยวกับเจ้าหนี้ ไม่ว่าเจ้าหนี้จะเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ และการดำเนินคดีล้มละลายหมายความรวมถึงการขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ด้วย
การที่เจ้าหนี้มีภูมิลำเนาอยู่นอกราชอาณาจักร ตั้ง ม. เป็นตัวแทนมีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีล้มละลายได้ แต่ ม. ละเลยมิได้ขอรับชำระหนี้ในคดีนี้แทนเจ้าหนี้จนพ้นกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แล้วจึงให้เจ้าหนี้มอบอำนาจใหม่ให้บุคคลอื่นมายื่นคำขอรับชำระหนี้แทนโดยขอขยายกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ นับได้ว่าเจ้าหนี้ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่สมควรขยายกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ให้
การที่เจ้าหนี้มีภูมิลำเนาอยู่นอกราชอาณาจักร ตั้ง ม. เป็นตัวแทนมีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีล้มละลายได้ แต่ ม. ละเลยมิได้ขอรับชำระหนี้ในคดีนี้แทนเจ้าหนี้จนพ้นกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แล้วจึงให้เจ้าหนี้มอบอำนาจใหม่ให้บุคคลอื่นมายื่นคำขอรับชำระหนี้แทนโดยขอขยายกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ นับได้ว่าเจ้าหนี้ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่สมควรขยายกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ให้