พบผลลัพธ์ทั้งหมด 764 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: จำนวนทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท และการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด142,900บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเกินไปกว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองฎีกาขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย283,218บาท(คิดถึงวันฟ้อง)แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่9สิงหาคม2531เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจึงเป็นคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสองฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นว่าลูกจ้างของโจทก์ทั้งสองมิได้ขับรถโดยประมาทหากแต่ลูกจ้างของจำเลยขับรถโดยประมาทฝ่ายเดียวเป็นเหตุให้รถชนกันเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5760/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้งและข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์น้อยกว่าสองแสนบาท
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ฟ้องอย่างหนึ่งแต่กลับนำสืบพยานหลักฐานไปอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากคำฟ้อง แต่ฎีกาของจำเลยทั้งสองไม่มีรายละเอียดว่าโจทก์ฟ้องอย่างไร แล้วไปนำสืบพยานหลักฐานอย่างไรอันนอกเหนือไปจากคำฟ้อง ไม่อาจเข้าใจได้ว่าพยานหลักฐานอันใดนอกเหนือไปจากคำฟ้อง ถือว่าเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า การแก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นไปตามเจตนาของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย หาทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะ จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 มิได้ตกลงยินยอมให้แก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินและที่ดินที่จำเลยที่ 1 โอนแก่จำเลยที่ 2 เป็นที่ดินคนละแปลงกัน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา248 วรรคหนึ่ง
เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า การแก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นไปตามเจตนาของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย หาทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะ จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 มิได้ตกลงยินยอมให้แก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินและที่ดินที่จำเลยที่ 1 โอนแก่จำเลยที่ 2 เป็นที่ดินคนละแปลงกัน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5760/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากข้อกล่าวหาไม่ชัดเจนและข้อเท็จจริงเกินกรอบที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย รวมถึงจำนวนทุนทรัพย์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ฟ้องอย่างหนึ่งแต่กลับนำสืบพยานหลักฐานไปอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากคำฟ้องแต่ฎีกาของจำเลยทั้งสองไม่มีรายละเอียดว่าโจทก์ฟ้องอย่างไรแล้วไปนำสืบพยานหลักฐานอย่างไรอันนอกเหนือไปจากคำฟ้องไม่อาจเข้าใจได้ว่าพยานหลักฐานอันใดนอกเหนือไปจากคำฟ้องถือว่าเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าการแก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นไปตามเจตนาของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายหาทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะจำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยที่1มิได้ตกลงยินยอมให้แก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินและที่ดินที่จำเลยที่1โอนแก่จำเลยที่2เป็นที่ดินคนละแปลงกันจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5755/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความของสิทธิเรียกร้องค่าสินค้าและการห้ามอุทธรณ์กรณีทุนทรัพย์น้อย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามใบส่งของชั่วคราวระหว่างวันที่ 5มกราคม 2533 ถึงวันที่ 3 มีนาคม 2533 เมื่อนับถึงวันฟ้อง (วันที่ 13 มีนาคม2535) จึงเกินกว่า 2 ปี สิทธิเรียกร้องค่าสินค้าของโจทก์จึงขาดอายุความ 2 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ซึ่งเท่ากับศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยมิได้ซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลย ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของจำเลย จึงมีอายุความ 5 ปี คดีไม่ขาดอายุความนั้น เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งว่า จำเลยซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท คดีย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224วรรคหนึ่ง แม้ศาลชั้นต้นจะรับเป็นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5755/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีซื้อขายสินค้า: การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงขัดกับข้อจำกัดการอุทธรณ์เมื่อทุนทรัพย์น้อยกว่าห้าหมื่นบาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามใบส่งของชั่วคราวระหว่างวันที่ 5 มกราคม 2533 ถึงวันที่ 3 มีนาคม 2533 เมื่อนับถึงวันฟ้อง (วันที่ 13 มีนาคม 2535) เกินกว่า 2 ปี สิทธิเรียกร้องค่าสินค้าของโจทก์จึงขาดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1) ซึ่งเท่ากับศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยมิได้ซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลย ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของจำเลย จึงมีอายุความ 5 ปีคดีไม่ขาดอายุความนั้น เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งว่า จำเลยซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท คดีย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง แม้ศาลชั้นต้นจะรับเป็นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5755/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความ 2 ปี ใบส่งของชั่วคราว และข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่าห้าหมื่นบาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าตามใบส่งของชั่วคราวระหว่างวันที่5มกราคม2533ถึงวันที่3มีนาคม2533เมื่อนับถึงวันฟ้อง(วันที่13มีนาคม2535)เกินกว่า2ปีสิทธิเรียกร้องค่าสินค้าของโจทก์จึงขาดอายุความ2ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/34(1)ซึ่งเท่ากับศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยมิได้ซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของจำเลยจึงมีอายุความ5ปีคดีไม่ขาดอายุความนั้นเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งว่าจำเลยซื้อสินค้าไปเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทคดีย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา224วรรคหนึ่งแม้ศาลชั้นต้นจะรับเป็นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5710/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรวมของเจ้าของที่ดินหลายแปลง, การครอบครองปรปักษ์, และข้อจำกัดการฎีกาตามทุนทรัพย์
ปัญหาว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างและที่ดินคนละแปลง แต่ร่วมกันฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นวิธีการดำเนินคดี ไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ของประชาชน แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้ แต่ก็มิได้โต้แย้งเมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จึงเป็นข้อกฎหมาย ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5495/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแยกคำนวณทุนทรัพย์พิพาทในคดีผิดสัญญาหลายวง
มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดนั้นเกิดจากสัญญาเล่นแชร์2 วง แต่ละวงมีรายละเอียดข้อสัญญาต่างกัน จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาวงหนึ่งวงใดไม่เป็นเหตุให้ผิดสัญญาอีกวงหนึ่ง การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเล่นแชร์วงแรกจึงมิได้เกี่ยวข้องกับข้อหาที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาเล่นแชร์วงที่สอง แม้โจทก์จะได้รวมฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นสองข้อหารวมกันมาเป็นคดีเดียว โดยศาลชั้นต้นรับคำฟ้องไว้พิจารณา มิได้มีคำสั่งให้แยกคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 29 ก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในมูลหนี้ดังกล่าวเนื่องจากเป็นหนี้ร่วมแล้ว จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ในการคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ ตามป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง นั้น ศาลต้องแยกคำนวณตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันตามข้อหาของการผิดสัญญาเล่นแชร์แต่ละวง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5495/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแยกคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทในสัญญาต่างกัน แม้รวมฟ้องเป็นคดีเดียว ศาลต้องแยกพิจารณาตามวงเงินสัญญาแต่ละส่วน
การคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์นั้น ต้องแยกคำนวณตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันตามข้อหาของการผิดสัญญา โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดจากสัญญาเล่นแชร์ 2 วง แต่ละวงมีรายละเอียดข้อสัญญาต่างกัน การผิดสัญญาวงหนึ่งวงใดไม่เป็นเหตุให้ผิดสัญญาอีกวงหนึ่งด้วย โจทก์จึงสามารถแยกฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ตามข้อหาของการผิดสัญญาเป็นสองคดีเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันสำหรับการเล่นแชร์แต่ละวงมีจำนวนไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5495/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณทุนทรัพย์ในคดีแพ่ง: สัญญาเล่นแชร์หลายวงแยกฟ้องได้, ทุนทรัพย์แต่ละวงต่ำกว่า 50,000 บาท ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
การคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์นั้นต้องแยกคำนวณตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันตามข้อหาของการผิดสัญญาโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1รับผิดจากสัญญาเล่นแชร์2วงแต่ละวงมีรายละเอียดข้อสัญญาต่างกันการผิดสัญญาวงหนึ่งวงใดไม่เป็นเหตุให้ผิดสัญญาอีกวงหนึ่งด้วยโจทก์จึงสามารถแยกฟ้องจำเลยที่1ได้ตามข้อหาของการผิดสัญญาเป็นสองคดีเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันสำหรับการเล่นแชร์แต่ละวงมีจำนวนไม่เกิน50,000บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่ง