พบผลลัพธ์ทั้งหมด 787 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสัญญาเช่าหลังผู้เช่าเสียชีวิต และการบุกรุกเคหสถานหลังสิ้นสุดสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าห้องพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยได้งัดกุญแจและบุกรุกเข้าไปอยู่ในห้องพิพาทของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ขับไล่จำเลยและใช้ค่าเสียหายดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์อันเป็นการละเมิดของจำเลยโดยได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ผู้เช่าเช่าตึกเดิมซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้เช่าจะต้องเสียเงินช่วยค่าก่อสร้างให้แก่ผู้ให้เช่าสัญญาเช่าดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษนอกเหนือไปจากสัญญาเช่าธรรมดา เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิจะอยู่อาศัยในตึกพิพาทต่อไปการที่จำเลยยังคงอยู่ในตึกพิพาทย่อมได้ชื่อว่าอยู่โดยละเมิดโจทก์ย่อมฟ้องขับไล่ผู้ทำละเมิดได้โดยมิต้องบอกกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: บุกรุกเคหสถานและขู่เข็ญผู้อื่น ศาลยืนตามอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทงความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยกระทำเพียงกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จำเลยกับพวกบุกรุกขึ้นไปบนทับซึ่งเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายโดยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย และได้ใช้อาวุธปืนยิงเพื่อขู่เข็ญให้ผู้เสียหายกับพวกเกิดความกลัวจนผู้เสียหายกับพวกลงจากทับหนีเข้าไปในป่า แสดงว่าจำเลยกับพวกบุกรุกขึ้นไปบนทับของผู้เสียหายก็เพื่อขับไล่ผู้เสียหายให้ออกไปจากทับ เมื่อผู้เสียหายยังไม่ยอมออกไปจึงยิงปืนขู่เข็ญให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวจนผู้เสียหายออกไปจากทับเข้าไปในป่า การกระทำของจำเลยต่อเนื่องกันโดยเจตนาประการเดียวคือเพื่อขับไล่ผู้เสียหายกับพวกให้ออกไปจากทับ จึงเป็นการกระทำเพียงกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: บุกรุกเคหสถานและขู่เข็ญด้วยอาวุธปืน ศาลยึดเจตนาเดียวในการขับไล่
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทงความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยกระทำเพียงกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยกับพวกบุกรุกขึ้นไปบนทับซึ่งเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายโดยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย และได้ใช้อาวุธปืนยิงเพื่อขู่เข็ญให้ผู้เสียหายกับพวกเกิดความกลัวจนผู้เสียหายกับพวกลงจากทับหนีเข้าไปในป่า แสดงว่าจำเลยกับพวกบุกรุกขึ้นไปบนทับของผู้เสียหายก็เพื่อขับไล่ผู้เสียหายให้ออกไปจากทับ เมื่อผู้เสียหายยังไม่ยอมออกไปจึงยิงปืนขู่เข็ญให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวจนผู้เสียหายออกไปจากทับเข้าไปในป่าการกระทำของจำเลยต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาประการเดียวคือเพื่อขับไล่ผู้เสียหายกับพวกให้ออกไปจากทับ จึงเป็นการกระทำเพียงกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท.
จำเลยกับพวกบุกรุกขึ้นไปบนทับซึ่งเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายโดยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย และได้ใช้อาวุธปืนยิงเพื่อขู่เข็ญให้ผู้เสียหายกับพวกเกิดความกลัวจนผู้เสียหายกับพวกลงจากทับหนีเข้าไปในป่า แสดงว่าจำเลยกับพวกบุกรุกขึ้นไปบนทับของผู้เสียหายก็เพื่อขับไล่ผู้เสียหายให้ออกไปจากทับ เมื่อผู้เสียหายยังไม่ยอมออกไปจึงยิงปืนขู่เข็ญให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวจนผู้เสียหายออกไปจากทับเข้าไปในป่าการกระทำของจำเลยต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาประการเดียวคือเพื่อขับไล่ผู้เสียหายกับพวกให้ออกไปจากทับ จึงเป็นการกระทำเพียงกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราแม้ได้รับความยินยอมพักนอนนอกชานแล้ว การบุกรุกเข้าไปในห้องนอนถือเป็นความผิดฐานบุกรุก
ผู้เสียหายยอมให้จำเลยพักนอนที่นอกชานเท่านั้น การที่จำเลย เข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานบุกรุก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราและการบุกรุก: ความยินยอมจำกัดไม่ครอบคลุมการกระทำผิด
ผู้เสียหายยอมให้จำเลยพักนอนที่นอกชานเท่านั้น การที่จำเลยเข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจึงเป็นความผิดฐานบุกรุก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกและการทำให้เสียทรัพย์เป็นคนละกรรมกัน แม้โจทก์มิได้ขอเรียงกระทง ศาลลงโทษได้หากบรรยายฟ้องหลายกรรม
จำเลยบุกรุกเข้าบ้านผู้เสียหาย เมื่อคนในบ้านรู้ตัวเรียกจำเลยให้ออกจากห้อง จำเลยกลับพังฝาห้องกระโดดลงจากบ้านหลบหนี ดังนี้การกระทำฐานบุกรุกสำเร็จลงแล้ว ส่วนการกระทำให้เสียทรัพย์เป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจึงเป็นคนละกรรมกัน แม้โจทก์จะมิได้ขอให้เรียงกระทงลงโทษ แต่เมื่อบรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันศาลลงโทษ 2กรรมได้ ไม่เกินคำขอ.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4579/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมวลโทษอาญาที่ถูกต้อง: บุกรุก ทำร้ายร่างกาย และข่มเหงรังแก ศาลฎีกาแก้โทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์
ปัญหาที่ว่าจำเลยกระทำความผิดกรรมใดบ้างนั้น แม้จำเลยมิได้ฎีกาก็เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้
การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านโจทก์ร่วม แล้วดูหมิ่นโจทก์ร่วมกับชกต่อยโจทก์ร่วมในทันทีทันใดนั้น เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาอันแท้จริง เพื่อดูหมิ่นและทำร้ายโจทก์ร่วมการกระทำของจำเลยในตอนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 อันเป็นบทหนักที่สุดต่อมาจำเลยฉุดแขนโจทก์ร่วมออกจากเคหสถานลากพาตัวไปยังถนนสาธารณะอันเป็นการทำให้โจทก์ร่วมปราศจากเสรีภาพในร่างกายพร้อมทั้งได้ร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายทันที ซึ่งถือได้ว่าเป็นการข่มเหงรังแกหรือทำให้โจทก์ร่วมเดือดร้อนรำคาญด้วยนั้นย่อมเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันกับความผิดฐานทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นเอง การกระทำของจำเลยในตอนหลังนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 อันเป็นบทหนักที่สุด รวมเป็นความผิด 2 กระทง
มูลเหตุแห่งคดีเกิดจากโจทก์ร่วมได้ว่ากล่าวบุตรของจำเลยว่าเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน ความเจ็บร้อนย่อมเกิดขึ้นได้ตามวิสัยปุถุชนจึงมีการต่อว่าต่อขานและเป็นมูลให้ทะเลาะกันอย่างจริงจังในที่สุดบาดแผลของโจทก์ร่วมเป็นบาดแผลที่ไม่รุนแรงกับคำว่า 'อีเหี้ย อีสัตว์'ที่จำเลยด่าโจทก์ร่วมก็เป็นแต่ถ้อยคำที่ผู้ถูกว่าเกิดความระคายเคืองใจไม่มีผู้ใดคิดและเชื่อว่าโจทก์ร่วมจะเป็นเช่นนั้นพิเคราะห์ตามมูลเหตุพฤติการณ์แห่งคดีและบาดแผล เป็นการสมควรที่ศาลจะรอการลงโทษไว้
การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านโจทก์ร่วม แล้วดูหมิ่นโจทก์ร่วมกับชกต่อยโจทก์ร่วมในทันทีทันใดนั้น เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาอันแท้จริง เพื่อดูหมิ่นและทำร้ายโจทก์ร่วมการกระทำของจำเลยในตอนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 อันเป็นบทหนักที่สุดต่อมาจำเลยฉุดแขนโจทก์ร่วมออกจากเคหสถานลากพาตัวไปยังถนนสาธารณะอันเป็นการทำให้โจทก์ร่วมปราศจากเสรีภาพในร่างกายพร้อมทั้งได้ร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายทันที ซึ่งถือได้ว่าเป็นการข่มเหงรังแกหรือทำให้โจทก์ร่วมเดือดร้อนรำคาญด้วยนั้นย่อมเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันกับความผิดฐานทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นเอง การกระทำของจำเลยในตอนหลังนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 อันเป็นบทหนักที่สุด รวมเป็นความผิด 2 กระทง
มูลเหตุแห่งคดีเกิดจากโจทก์ร่วมได้ว่ากล่าวบุตรของจำเลยว่าเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน ความเจ็บร้อนย่อมเกิดขึ้นได้ตามวิสัยปุถุชนจึงมีการต่อว่าต่อขานและเป็นมูลให้ทะเลาะกันอย่างจริงจังในที่สุดบาดแผลของโจทก์ร่วมเป็นบาดแผลที่ไม่รุนแรงกับคำว่า 'อีเหี้ย อีสัตว์'ที่จำเลยด่าโจทก์ร่วมก็เป็นแต่ถ้อยคำที่ผู้ถูกว่าเกิดความระคายเคืองใจไม่มีผู้ใดคิดและเชื่อว่าโจทก์ร่วมจะเป็นเช่นนั้นพิเคราะห์ตามมูลเหตุพฤติการณ์แห่งคดีและบาดแผล เป็นการสมควรที่ศาลจะรอการลงโทษไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4232/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ต้องห้ามในความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ศาลฎีกายืนตามศาลล่าง
ข้อหากระทงความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 365 ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 แม้ฎีกาของโจทก์ร่วมจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วว่า การกระทำของจำเลยยังไม่มีเจตนากระทำความผิด เช่นนี้ ฎีกาข้อกฎหมายของโจทก์ร่วมไม่ว่าจะมีข้อโต้แย้งประการใด ก็ไม่อาจทำให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสียทรัพย์และฐานบุกรุกแยกกระทงกันมา การพิจารณาสิทธิในการอุทธรณ์ต้องแยกพิจารณาเป็นรายกระทงความผิด ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพัน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ร่วมจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3947/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่สาธารณะ: ฟ้องครบองค์ประกอบความผิด แม้ไม่ได้กล่าวถึงการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันเมื่อระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2518 ถึงวันที่ 24 ตุลาคม 2527 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้อง โจทก์หาจำต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติให้ถูกระเบียบและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามความในมาตรา108 ไม่ เพราะจำเลยเข้ายึดถือ ครอบครอง ที่ดินภายหลังที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ใช้บังคับแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3871/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิป้องกันตัว: การใช้กำลังป้องกันภัยอันตรายใกล้ถึงจากการบุกรุกทำร้าย
เวลาประมาณ 23 นาฬิกาของคืนเกิดเหตุผู้ตายพกมีดปลายแหลมตัวมีดยาวคืบเศษ และเพื่อนผู้ตายถืออาวุธปืนมาร้องเรียกจำเลยให้ออกไปนอกบ้าน ถ้า ไม่ออกไปจะเข้ามาฆ่าจำเลย เมื่อจำเลยไม่ยอมออกไปผู้ตายถีบ ประตูระเบียง บ้านจำเลยอยู่ประมาณ 10 นาทีเพื่อจะพัง เข้ามาทำร้ายจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัดในระยะห่างกันเพียง3 วา พฤติการณ์ฟังได้ว่าผู้ตายกับพวกมีเจตนาจะเข้ามาทำร้ายจำเลยนับว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิป้องกันตัวได้และการที่จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงเพียง 1 นัดในทันทีนั้น เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ.