พบผลลัพธ์ทั้งหมด 584 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้บุกรุกที่ดินเช่า โดยเจ้าของที่ดินและผู้รับโอนสิทธิเช่ามีอำนาจฟ้องร่วมกัน
เดิมเจ้าของที่ดินตกลงให้ ท. เช่าที่ดินเพื่อปรับปรุงก่อสร้างอาคารพาณิชย์โดยให้กรรมสิทธิ์ในสิ่งก่อสร้างตกเป็นของเจ้าของที่ดินนับแต่วันสร้างเสร็จ และให้ ท.มีสิทธิเก็บผลประโยชน์ได้เป็นเวลา 12 ปีนับแต่วันครบกำหนดก่อสร้าง ต่อมา ท.ได้โอนสิทธิตามสัญญาเช่าให้โจทก์ตามที่มีข้อตกลงอนุญาตไว้ เจ้าของที่ดินได้แจ้งให้จำเลยออกไปจากที่ดิน จำเลยไม่ยอมขนย้ายออกไปทำให้โจทก์เข้าก่อสร้างในที่ดินที่เช่าไม่ได้ โจทก์จึงฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยเรียกเจ้าของที่ดินเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม พร้อมกับยื่นคำฟ้อง ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่เช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ร่วม อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วม โจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งอยู่ในที่เช่าโดยละเมิดได้ โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่เช่าก่อน และแม้โจทก์จะไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยลำพัง โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้ศาลเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีเพื่อศาลจะได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างผู้เป็นคู่กรณีทั้งหลายรวมไปเป็นคดีเดียวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477 และ 549 ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์บริบูรณ์ขึ้นได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1053/2509)
ในกรณีดังกล่าว เมื่อจำเลยกระทำผิด ย่อมต้องมีความเสียหายเกิดขึ้นเพราะผลแห่งการละเมิด และศาลจะบังคับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนสถานใดเพียงใดนั้น ย่อมแล้วแต่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด และค่าสินไหมทดแทนนั้นรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่จำเลยได้ก่อขึ้นนั้นด้วย ฉะนั้นการที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่า เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถปลูกตึกแถวในที่เช่าให้เช่าหาประโยชน์ตามสัญญาที่ผูกพันกันระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม ซึ่งจำเลยได้รับการบอกกล่าวให้ทราบแล้ว จึงต้องถือว่าเป็นความเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของจำเลย เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดี จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
ในกรณีดังกล่าว เมื่อจำเลยกระทำผิด ย่อมต้องมีความเสียหายเกิดขึ้นเพราะผลแห่งการละเมิด และศาลจะบังคับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนสถานใดเพียงใดนั้น ย่อมแล้วแต่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด และค่าสินไหมทดแทนนั้นรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่จำเลยได้ก่อขึ้นนั้นด้วย ฉะนั้นการที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่า เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถปลูกตึกแถวในที่เช่าให้เช่าหาประโยชน์ตามสัญญาที่ผูกพันกันระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม ซึ่งจำเลยได้รับการบอกกล่าวให้ทราบแล้ว จึงต้องถือว่าเป็นความเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของจำเลย เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดี จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้บุกรุกที่ดินเช่า โดยการฟ้องร่วมกันระหว่างผู้เช่าช่วงและเจ้าของที่ดิน
เดิมเจ้าของที่ดินตกลงให้ ท.เช่าที่ดินเพื่อปรับปรุงก่อสร้างอาคารพาณิชย์โดยให้กรรมสิทธิ์ในสิ่งก่อสร้างตกเป็นของเจ้าของที่ดินนับแต่วันสร้างเสร็จ และให้ ท.มีสิทธิเก็บผลประโยชน์ได้เป็นเวลา 12 ปีนับแต่วันครบกำหนดก่อสร้าง ต่อมา ท. ได้โอนสิทธิตามสัญญาเช่าให้โจทก์ตามที่มีข้อตกลงอนุญาตไว้ เจ้าของที่ดินได้แจ้งให้จำเลยออกไปจากที่ดิน จำเลยไม่ยอมขนย้ายออกไปทำให้โจทก์เข้าก่อสร้างในที่ดินที่เช่าไม่ได้ โจทก์จึงฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยเรียกเจ้าของที่ดินเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม พร้อมกับยื่นคำฟ้อง ดังนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่เช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ร่วม อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วม โจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งอยู่ในที่เช่าโดยละเมิดได้ โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่เช่าก่อน และแม้โจทก์จะไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยลำพัง โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้ศาลเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีเพื่อศาลจะได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างผู้เป็นคู่กรณีทั้งหลายรวมไปเป็นคดีเดียวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477 และ 549 ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์บริบูรณ์ขึ้นได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1053/2509)
ในกรณีดังกล่าวเมื่อจำเลยทำละเมิด ย่อมต้องมีความเสียหายเกิดขึ้นเพราะผลแห่งการละเมิด และศาลจะบังคับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนสถานใดเพียงใดนั้น ย่อมแล้วแต่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด และค่าสินไหมทดแทนนั้นรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ ที่จำเลยได้ก่อขึ้นนั้นด้วย ฉะนั้นการที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่า เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถปลูกตึกแถวในที่เช่าให้เช่าหาประโยชน์ตามสัญญาที่ผูกพันกันระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม ซึ่งจำเลยได้รับการบอกกล่าวให้ทราบแล้ว จึงต้องถือว่าเป็นความเสียหายอันเนื่องจากจากการทำละเมิดของจำเลย เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดี จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
ในกรณีดังกล่าวเมื่อจำเลยทำละเมิด ย่อมต้องมีความเสียหายเกิดขึ้นเพราะผลแห่งการละเมิด และศาลจะบังคับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนสถานใดเพียงใดนั้น ย่อมแล้วแต่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด และค่าสินไหมทดแทนนั้นรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ ที่จำเลยได้ก่อขึ้นนั้นด้วย ฉะนั้นการที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่า เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถปลูกตึกแถวในที่เช่าให้เช่าหาประโยชน์ตามสัญญาที่ผูกพันกันระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม ซึ่งจำเลยได้รับการบอกกล่าวให้ทราบแล้ว จึงต้องถือว่าเป็นความเสียหายอันเนื่องจากจากการทำละเมิดของจำเลย เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดี จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 577/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบไม่สมบูรณ์ตามฟ้อง และสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ
ที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าจำเลยกับพวกบุกรุกเข้าทำการเพาะปลูกพืชไร่ในที่พิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ อันเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเข้าไปในที่พิพาทโดยไม่มีสิทธิที่จะอ้างได้ แต่กลับนำสืบว่าจำเลยเข้าไปในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าจากโจทก์ กรณีเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์นำสืบไม่สมสภาพข้อหาข้ออ้างในคำฟ้อง และเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นคำฟ้อง อันไม่ชอบที่จะนำสืบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 474/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีฟ้องขับไล่ค่าเช่าต่ำกว่าสองพันบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยแล้ว
คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยข้อเท็จจริงมาก็ถือว่าข้อเท็จจริงนั้นมิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า เดิมบ้านพิพาทเป็นของนางตุงกูสะราห์บินตำมะหงงให้จำเลยเช่าประกอบการค้า เมื่อเดือนธันวาคม 2512 โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์บ้านดังกล่าวจากนางตุงกูสะราห์ได้แจ้งให้จำเลยทราบและให้โอกาสจำเลยอยู่ชั่วคราวจำเลยไม่ตกลง โจทก์จึงให้ทนายบอกกล่าวให้จำเลยออกไป จำเลยทราบแล้วก็ยังคงอยู่โดยละเมิดเสียหายเท่าค่าเช่าอย่างต่ำเดือนละ 350 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารกับใช้ค่าเสียหายดังนี้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไว้ครบบริบูรณ์แล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องส่งเอกสารซื้อขายบ้านพิพาทพร้อมกับฟ้องไม่
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ว่า หากโจทก์ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทมาจริงขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้นเสียเพื่อจำเลยจะได้ใช้สิทธิเป็นผู้ซื้อได้ก่อนเป็นคนแรกตามสิทธิที่มีอยู่ในสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับสามีนางตุงกูสะราห์บินตำมะหงงนั้นเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับบุคคลภายนอก จำเลยไม่มีส่วนได้เสียถึงกับจะขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้น ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า เดิมบ้านพิพาทเป็นของนางตุงกูสะราห์บินตำมะหงงให้จำเลยเช่าประกอบการค้า เมื่อเดือนธันวาคม 2512 โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์บ้านดังกล่าวจากนางตุงกูสะราห์ได้แจ้งให้จำเลยทราบและให้โอกาสจำเลยอยู่ชั่วคราวจำเลยไม่ตกลง โจทก์จึงให้ทนายบอกกล่าวให้จำเลยออกไป จำเลยทราบแล้วก็ยังคงอยู่โดยละเมิดเสียหายเท่าค่าเช่าอย่างต่ำเดือนละ 350 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารกับใช้ค่าเสียหายดังนี้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไว้ครบบริบูรณ์แล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องส่งเอกสารซื้อขายบ้านพิพาทพร้อมกับฟ้องไม่
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ว่า หากโจทก์ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทมาจริงขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้นเสียเพื่อจำเลยจะได้ใช้สิทธิเป็นผู้ซื้อได้ก่อนเป็นคนแรกตามสิทธิที่มีอยู่ในสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับสามีนางตุงกูสะราห์บินตำมะหงงนั้นเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับบุคคลภายนอก จำเลยไม่มีส่วนได้เสียถึงกับจะขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้น ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่จากละเมิดหลังมีคำพิพากษาชี้ขาดกรรมสิทธิ์ และการครอบครองปรปักษ์ที่ไม่สมบูรณ์
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยตามมูลสัญญาเช่า โดยอ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเป็นมูลละเมิด โดยอ้างว่าศาลฎีกาได้พิพากษาว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ในคดีอีกเรื่องหนึ่ง จำเลยไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านอีกต่อไป ประเด็นแห่งคดีทั้งสองเรื่องไม่เหมือนกันโจทก์จึงฟ้องคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้โจทก์โอนที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้จำเลย ว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ผลแห่งคำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยผู้เป็นคู่ความ จำเลยจะอ้างในคดีนี้อีกว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหาได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านพิพาท การที่จำเลยอยู่ต่อมาจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์จำเลยเป็นความแย่งกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทกันตลอดมากล่าวคือ พ.ศ. 2509 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย พ.ศ. 2510 จำเลยกลับฟ้องให้โจทก์โอนบ้านพิพาทคืนจำเลย จนปี พ.ศ. 2515 ศาลฎีกาจึงชี้ขาดว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวการครอบครองบ้านพิพาทของจำเลย หาเป็นการครอบครองด้วยความสงบตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ไม่ จะนับเวลาในช่วงนี้รวมเข้ากับระยะเวลาที่จำเลยครอบครองมาก่อนนั้นเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์มิได้
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้โจทก์โอนที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้จำเลย ว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ผลแห่งคำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยผู้เป็นคู่ความ จำเลยจะอ้างในคดีนี้อีกว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหาได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านพิพาท การที่จำเลยอยู่ต่อมาจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์จำเลยเป็นความแย่งกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทกันตลอดมากล่าวคือ พ.ศ. 2509 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย พ.ศ. 2510 จำเลยกลับฟ้องให้โจทก์โอนบ้านพิพาทคืนจำเลย จนปี พ.ศ. 2515 ศาลฎีกาจึงชี้ขาดว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวการครอบครองบ้านพิพาทของจำเลย หาเป็นการครอบครองด้วยความสงบตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ไม่ จะนับเวลาในช่วงนี้รวมเข้ากับระยะเวลาที่จำเลยครอบครองมาก่อนนั้นเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่หลังมีคำพิพากษาชี้ขาดกรรมสิทธิ์ การครอบครองปรปักษ์ไม่สำเร็จเนื่องจากความขัดแย้งทางกฎหมาย
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยตามมูลสัญญาเช่า โดยอ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเป็นมูลละเมิดโดยอ้างว่าศาลฎีกาได้พิพากษาว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ในคดีอีกเรื่องหนึ่ง จำเลยไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านอีกต่อไป ประเด็นแห่งคดีทั้งสองเรื่องไม่เหมือนกันโจทก์จึงฟ้องคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้โจทก์โอนที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้จำเลย ว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ผลแห่งคำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยผู้เป็นคู่ความ จำเลยจะอ้างในคดีนี้อีกว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหาได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านพิพาท การที่จำเลยอยู่ต่อมาจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์จำเลยเป็นความแย่งกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทกันตลอดมา กล่าวคือ พ.ศ. 2509 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยพ.ศ. 2510 จำเลยกลับฟ้องให้โจทก์โอนบ้านพิพาทคืนจำเลย จนปี พ.ศ. 2515ศาลฎีกาจึงชี้ขาดว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวการครอบครองบ้านพิพาทของจำเลย หาเป็นการครอบครองด้วยความสงบตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ไม่ จะนับเวลาในช่วงนี้รวมเข้ากับระยะเวลาที่จำเลยครอบครองมาก่อนนั้นเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์มิได้
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้โจทก์โอนที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้จำเลย ว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ผลแห่งคำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยผู้เป็นคู่ความ จำเลยจะอ้างในคดีนี้อีกว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหาได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านพิพาท การที่จำเลยอยู่ต่อมาจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์จำเลยเป็นความแย่งกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทกันตลอดมา กล่าวคือ พ.ศ. 2509 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยพ.ศ. 2510 จำเลยกลับฟ้องให้โจทก์โอนบ้านพิพาทคืนจำเลย จนปี พ.ศ. 2515ศาลฎีกาจึงชี้ขาดว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวการครอบครองบ้านพิพาทของจำเลย หาเป็นการครอบครองด้วยความสงบตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ไม่ จะนับเวลาในช่วงนี้รวมเข้ากับระยะเวลาที่จำเลยครอบครองมาก่อนนั้นเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินหวงห้ามเพื่อสหกรณ์เป็นที่สาธารณสมบัติ โจทก์ไม่มีสิทธิเช่าหรือฟ้องขับไล่
ที่พิพาทเป็นที่ดินซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามไว้เพื่อการสหกรณ์ จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) ซึ่งต้องห้ามมิให้โอนแก่กัน เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305โจทก์ซึ่งรับโอนที่พิพาทมาจึงไม่มีสิทธิเหนือที่พิพาท และไม่มีสิทธิจะนำที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินไปให้ผู้ใดเช่าเมื่อโจทก์ไม่มีสิทธินำที่พิพาทไปให้จำเลยเช่า โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาท และเรียกค่าเช่ากับค่าเสียหายจากจำเลย(อ้างฎีกาที่ 622/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3234/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่: สิทธิและหน้าที่ของผู้รับมรดกที่ดินจากการเช่าเดิม
จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินมาจากนาง น. ปลูกบ้าน เมื่อนาง น. ถึงแก่กรรมที่ดินส่วนที่จำเลยเช่าตกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาท โจทก์ผู้รับมรดกที่ดินดังกล่าวย่อมรับมาทั้งสิทธิและหน้าที่ เมื่อไม่มีสัญญาต่างตอบแทน ในระหว่างจำเลยและนาง น. ผู้ให้เช่าเดิม และเป็นการเช่าไม่มีกำหนดเวลา เช่นนี้ เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกการเช่ากับจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1709/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าและการฟ้องขับไล่: สิทธิของเจ้าของที่ดินเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุด
มูลนิธิโจทก์ซึ่งได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากผู้ให้เช่าเดิมย่อมรับมาทั้งสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับการเช่า เมื่อมูลนิธิโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทได้ จำเลยจะโต้เถียงสิทธิของมูลนิธิโจทก์ว่าเป็นเรื่องนอกเหนือวัตถุประสงค์ของมูลนิธิหาได้ไม่
การที่ประธานกรรมการมูลนิธิโจทก์ลงนามในหนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่าเพียงผู้เดียว โดยไม่มีกรรมการอื่นอีก 2 คนลงนามด้วย ให้ครบถ้วนถูกต้องนั้นแม้จะถือไม่ได้ว่าทำในฐานะผู้แทนมูลนิธิโจทก์ แต่ก็เห็นได้ว่าทำในฐานะตัวแทนของมูลนิธิโจทก์ ทั้งมูลนิธิโจทก์ก็ได้รับเอาผลแห่งนิติกรรมนั้นและฟ้องขับไล่จำเลยแล้ว จำเลยจะอ้างเหตุดังกล่าวปฏิเสธการบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ได้
จำเลยมิได้ยกข้อที่ว่า การบอกกล่าวเลิกการเช่าของทนายโจทก์มิได้มีการมอบอำนาจโดยชอบ เพราะไม่มีกรรมการอื่นอีก 2 คนร่วมมอบอำนาจกับประธานกรรมการมูลนิธิโจทก์ขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นจะยกขึ้นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่ประธานกรรมการมูลนิธิโจทก์ลงนามในหนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่าเพียงผู้เดียว โดยไม่มีกรรมการอื่นอีก 2 คนลงนามด้วย ให้ครบถ้วนถูกต้องนั้นแม้จะถือไม่ได้ว่าทำในฐานะผู้แทนมูลนิธิโจทก์ แต่ก็เห็นได้ว่าทำในฐานะตัวแทนของมูลนิธิโจทก์ ทั้งมูลนิธิโจทก์ก็ได้รับเอาผลแห่งนิติกรรมนั้นและฟ้องขับไล่จำเลยแล้ว จำเลยจะอ้างเหตุดังกล่าวปฏิเสธการบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ได้
จำเลยมิได้ยกข้อที่ว่า การบอกกล่าวเลิกการเช่าของทนายโจทก์มิได้มีการมอบอำนาจโดยชอบ เพราะไม่มีกรรมการอื่นอีก 2 คนร่วมมอบอำนาจกับประธานกรรมการมูลนิธิโจทก์ขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นจะยกขึ้นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1259/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ หากมีการบอกเลิกสัญญาเช่าเพิ่มเติมจากข้อเท็จจริงเดิม
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังว่ามีการเช่าจริงแต่โจทก์ยังมิได้บอกเลิกการเช่า จึงฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้ ดังนี้เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลยแล้ว โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยใหม่ได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ