พบผลลัพธ์ทั้งหมด 784 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1040/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมูลทำนาและการบังคับตามสัญญา หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาประมูล ศาลมีอำนาจบังคับยึดทรัพย์ได้
โจทก์จำเลยพิพาทโต้เถียงกรรมสิทธิ์ที่นาในระหว่างคดีโจทก์ประมูลการทำนาพิพาทได้โดยจะวางเงินจำนวนหนึ่งต่อศาลเป็นรายปีโจทก์วางเงินสำหรับการทำนาปี2524แล้วต่อมาปี2525โจทก์ยื่นคำแถลงขอยกเลิกการประมูลจำเลยแถลงคัดค้านศาลชั้นต้นสั่งว่าฝ่ายจำเลยไม่ยินยอมจะกระทำไม่ได้ให้โจทก์นำเงินมาวางศาลภายในกำหนดโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงถึงที่สุดโจทก์ต้องปฏิบัติตามเมื่อโจทก์ไม่นำเงินมาวางศาลภายในกำหนดจำเลยชอบที่จะขอให้บังคับตามคำสั่งนั้นได้ประนอมกับคดีได้ความว่าโจทก์ได้เข้าไถคราดทำนาหว่านข้าวในที่พิพาทแล้วด้วยโดยมิได้วางเงินค่าประมูลทำนาศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของโจทก์มาขายทอดตลาดเพื่อนำเงินตามจำนวนที่ตกลงประมูลกันมาวางศาลได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากการยึดทรัพย์ชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นคดีต่างหากได้
โจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ขอเงินมัดจำและเงินค่างวดที่โจทก์จ่ายไปแล้วคืนพร้อมดอกเบี้ย พร้อมกับฟ้องโจทก์ได้ยื่นคำร้องในเหตุฉุกเฉินขอให้ศาลชั้นต้นยึดหรืออายัดที่ดินของจำเลยที่ 1 ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาซึ่งศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งอนุญาตในวันถัดไป จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญากับฟ้องแย้งว่า การที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 ก็โดยการอ้างเท็จเป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อ ขอเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่เกิดจากการที่ศาลชั้นต้นสั่งยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอของโจทก์ ดังนี้ มูลหนี้ตามฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวเกิดจากกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่เรียกว่าวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมาย คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากไปจากคำฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ชอบที่จำเลยที่ 1 จักฟ้องโจทก์เป็นคดีต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากยึดทรัพย์ชั่วคราวก่อนพิพากษา เป็นคดีต่างหากจากฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายขอเงินมัดจำและเงินค่างวดที่โจทก์จ่ายไปแล้วคืนพร้อมดอกเบี้ยพร้อมกับฟ้องโจทก์ได้ยื่นคำร้องในเหตุฉุกเฉินขอให้ศาลชั้นต้นยึดหรืออายัดที่ดินของจำเลยที่1ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาซึ่งศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งอนุญาตในวันถัดไปจำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญากับฟ้องแย้งว่าการที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งยึดที่ดินของจำเลยที่1ก็โดยการอ้างเท็จเป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อขอเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่เกิดจากการที่ศาลชั้นต้นสั่งยึดที่ดินของจำเลยที่1ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอของโจทก์ดังนี้มูลหนี้ตามฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวเกิดจากกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่เรียกว่าวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมายคือป.วิ.พ.ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากไปจากคำฟ้องเดิมฟ้องแย้งของจำเลยที่1จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมชอบที่จำเลยที่1จักฟ้องโจทก์เป็นคดีต่างหาก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากการยึดทรัพย์ชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นคดีต่างหากได้
โจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายขอเงินมัดจำและเงินค่างวดที่โจทก์จ่ายไปแล้วคืนพร้อมดอกเบี้ยพร้อมกับฟ้องโจทก์ได้ยื่นคำร้องในเหตุฉุกเฉินขอให้ศาลชั้นต้นยึดหรืออายัดที่ดินของจำเลยที่1ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาซึ่งศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งอนุญาตในวันถัดไปจำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญากับฟ้องแย้งว่าการที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งยึดที่ดินของจำเลยที่1ก็โดยการอ้างเท็จเป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อขอเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่เกิดจากการที่ศาลชั้นต้นสั่งยึดที่ดินของจำเลยที่1ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอของโจทก์ดังนี้มูลหนี้ตามฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวเกิดจากกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่เรียกว่าวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมายคือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากไปจากคำฟ้องเดิมฟ้องแย้งของจำเลยที่1จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมชอบที่จำเลยที่1จักฟ้องโจทก์เป็นคดีต่างหาก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเหนือกว่าการยึดชั่วคราว การเสียค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์ซ้ำซ้อน
โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นยึดที่ดินของจำเลยที่1ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาแล้วต่อมาศาลแพ่งได้ยึดที่ดินแปลงดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ในคดีของศาลแพ่งและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าวไปตามหมายบังคับคดีของศาลแพ่งนั้นเป็นเรื่องที่โจทก์ในคดีของศาลแพ่งใช้สิทธิที่เหนือกว่าในฐานเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาบังคับคดีเอาแก่ที่ดินแปลงดังกล่าวไปก่อนและถือได้ว่าการยึดที่ดินแปลงดังกล่าวไว้ชั่วคราวตามคำขอของโจทก์เป็นอันยกเลิกไปในตัวเพราะเป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะบังคับคดีเอาแก่ที่ดินแปลงนั้นต่อไปได้ทั้งโจทก์ในคดีของศาลแพ่งก็ย่อมต้องเสียค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่แล้วโจทก์คดีนี้จึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายสำหรับที่ดินแปลงเดียวกันนี้อีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้บังคับคดีเหนือกว่า การยึดทรัพย์ชั่วคราวเป็นอันยกเลิกเมื่อมีการขายทอดตลาด
โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นยึดที่ดินของจำเลยที่1ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาแล้วต่อมาศาลแพ่งได้ยึดที่ดินแปลงดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ในคดีของศาลแพ่งและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าวไปตามหมายบังคับคดีของศาลแพ่งนั้นเป็นเรื่องที่โจทก์ในคดีของศาลแพ่งใช้สิทธิที่เหนือกว่าในฐานเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาบังคับคดีเอาแก่ที่ดินแปลงดังกล่าวไปก่อนและถือได้ว่าการยึดที่ดินแปลงดังกล่าวไว้ชั่วคราวตามคำขอของโจทก์เป็นอันยกเลิกไปในตัวเพราะเป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะบังคับคดีเอาแก่ที่ดินแปลงนั้นต่อไปได้ทั้งโจทก์ในคดีของศาลแพ่งก็ย่อมต้องเสียค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่แล้วโจทก์คดีนี้จึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายสำหรับที่ดินแปลงเดียวกันนี้อีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4816/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีภายใน 10 ปี: การยึดทรัพย์เกินกำหนดเวลา และประเด็นการชำระหนี้ที่ศาลสั่งงดสืบพยาน
การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาต้องดำเนินการตามขั้นตอน ขั้นแรกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว และจากนั้นต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามขั้นตอนดังกล่าวส่วนการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปยึดทรัพย์เมื่อใดนั้นเป็นขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าพนักงานบังคับคดี แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปทำการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 และที่ 4 เกินสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนครบถ้วนแล้วภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้ว สำหรับประเด็นที่ว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้วหรือไม่นั้น ในวันนัดพร้อมตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 16มิถุนายน 2526 โจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 4 แถลงร่วมกัน ว่า "กรณีนี้ฝ่ายโจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอให้ เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์กรณีพิพาทเมื่อวันที่17 มกราคม 2526 แต่เจ้าพนักงานได้ทำการยึดทรัพย์เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2526 และคู่กรณีขอให้ศาลวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าว" ศาลมีคำสั่งว่า "ศาลเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้นัดฟังคำสั่งกรณีนี้ ในวันที่ 27 มิถุนายน 2526 เวลา 10 นาฬิกา" แม้คำแถลงของจำเลย ที่ 2 และที่ 4 จะยังไม่ชัดแจ้งว่า จำเลยที่2 และที่ 4 ได้สละประเด็นดังกล่าว แต่คำสั่งศาลที่ว่าคดีพอวินิจฉัยได้ และนัดฟังคำสั่งเป็นการสั่งงดสืบพยาน อันเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 จำเลยที่ 2และที่ 4 มีโอกาสโต้แย้งคำสั่งแต่ไม่ได้โต้แย้งไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะฎีกา เพราะถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4269/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีหลังการโอนทรัพย์สินยึด: ศาลไม่สามารถสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายจากผู้โอนได้ หากเจ้าหนี้ไม่ได้ขอให้บังคับคดีต่อทรัพย์สินที่โอน
การดำเนินกระบวนพิจารณาในกรณีที่มีการโอนไปซึ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาภายหลังการยึดนั้นเป็นกรณีต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305(1) ซึ่งบัญญัติไว้ความว่า การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ก่อให้เกิด โอนหรือเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้ทำการยึดไว้แล้วนั้น หาอาจใช้ยันแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไม่ ฉะนั้น การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยมาสอบถามถึงการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ที่ศาลมีคำสั่งยึดและได้โอนไปยังนายดนัยแล้วเพื่อดำเนินการบังคับคดีต่อไป จึงเป็นการไม่ถูกต้องและหาเป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์แต่อย่างใดไม่โจทก์ชอบที่จะดำเนินการเกี่ยวกับการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ที่ศาลมีคำสั่งยึดไว้แล้วดังกล่าวให้ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายต่อไป การที่ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งให้องค์การโทรศัพท์ผู้คัดค้านชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ก็เป็นการสั่งนอกเหนือไปจากคำขอท้ายคำร้องของโจทก์อีกด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดสิทธิผู้เช่าซื้อ แม้ผู้ให้เช่าซื้อยึดทรัพย์คืน ก็ไม่ระงับผลการละเมิด การยึดทรัพย์เป็นอำนาจศาล
ผู้เช่าซื้อมีสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อในอันที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สิน ที่ตนเช่าซื้อมา ย่อมมีสิทธิฟ้องผู้ที่มายึดทรัพย์สินนั้นจากตนโดยละเมิดได้ แม้ภายหลังผู้ให้เช่าซื้อจะยึดทรัพย์สินคืนไป ก็ไม่ทำให้ผลการละเมิดที่กระทำไว้ก่อนระงับตามไปด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 424 บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิด และกำหนดค่าสินไหมทดแทนนั้น ศาลไม่จำต้องดำเนินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำละเมิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลเคยพิพากษาในคดีอาญาว่าจำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์และยกฟ้องโจทก์ก็ไม่จำต้องฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เพราะจำเลยอาจกระทำผิดกฎหมายอย่างอื่นเช่นกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ในการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไว้แล้วก็ได้ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่
สามีโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ยอมความกันใน คดีอาญาโดยสามีโจทก์ตกลงผ่อนชำระหนี้ ศาลสั่งจำหน่ายคดี เมื่อโจทก์ผิดนัด จำเลยที่ 1 ชอบที่จะฟ้องคดีต่อศาลบังคับให้สามีโจทก์ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241และการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นอำนาจของศาลและของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเฉพาะ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 และทหารพรานยึดรถยนต์ที่อยู่ในความครอบครองของ โจทก์ไป อ้างว่าเป็นรถยนต์ผิดกฎหมายนำส่งพนักงานสอบสวนโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายจึงเป็นการกระทำโดยละเมิดต่อโจทก์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 424 บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิด และกำหนดค่าสินไหมทดแทนนั้น ศาลไม่จำต้องดำเนินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำละเมิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลเคยพิพากษาในคดีอาญาว่าจำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์และยกฟ้องโจทก์ก็ไม่จำต้องฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เพราะจำเลยอาจกระทำผิดกฎหมายอย่างอื่นเช่นกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ในการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไว้แล้วก็ได้ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่
สามีโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ยอมความกันใน คดีอาญาโดยสามีโจทก์ตกลงผ่อนชำระหนี้ ศาลสั่งจำหน่ายคดี เมื่อโจทก์ผิดนัด จำเลยที่ 1 ชอบที่จะฟ้องคดีต่อศาลบังคับให้สามีโจทก์ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241และการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นอำนาจของศาลและของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเฉพาะ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 และทหารพรานยึดรถยนต์ที่อยู่ในความครอบครองของ โจทก์ไป อ้างว่าเป็นรถยนต์ผิดกฎหมายนำส่งพนักงานสอบสวนโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายจึงเป็นการกระทำโดยละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้เช่าซื้อในการฟ้องละเมิดจากการยึดทรัพย์โดยไม่ชอบ แม้ผู้ให้เช่าซื้อจะยึดทรัพย์คืนไปแล้ว
ผู้เช่าซื้อมีสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อในอันที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สิน ที่ตนเช่าซื้อมาย่อมมีสิทธิฟ้องผู้ที่มายึดทรัพย์สินนั้นจากตนโดยละเมิดได้ แม้ภายหลังผู้ให้เช่าซื้อจะยึดทรัพย์สินคืนไป ก็ไม่ทำให้ผลการละเมิดที่กระทำไว้ก่อนระงับตามไปด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 424 บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิด และกำหนดค่าสินไหมทดแทนนั้น ศาลไม่จำต้องดำเนินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญา อันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษและไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ ผู้กระทำละเมิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ฉะนั้นการที่ศาลเคยพิพากษาในคดีอาญาว่า จำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์และ ยกฟ้องโจทก์ ก็ไม่จำต้อง ฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เพราะจำเลยอาจกระทำผิดกฎหมายอย่างอื่นเช่นกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ในการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไว้แล้วก็ ได้ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่
สามีโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ยอมความกันใน คดีอาญาโดยสามีโจทก์ตกลงผ่อนชำระหนี้ศาลสั่งจำหน่ายคดี เมื่อโจทก์ผิดนัด จำเลยที่ 1 ชอบที่จะ ฟ้องคดีต่อศาลบังคับให้ สามีโจทก์ชำระหนี้จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของ โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241และการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เป็นอำนาจของศาลและของ เจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเฉพาะ ดังนั้น การที่จำเลยที่1และทหารพรานยึดรถยนต์ที่อยู่ใน ความครอบครอง ของ โจทก์ไป อ้างว่าเป็นรถยนต์ผิดกฎหมาย นำส่งพนักงานสอบสวน โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายจึงเป็น การกระทำ โดยละเมิดต่อโจทก์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 424 บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิด และกำหนดค่าสินไหมทดแทนนั้น ศาลไม่จำต้องดำเนินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญา อันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษและไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ ผู้กระทำละเมิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ฉะนั้นการที่ศาลเคยพิพากษาในคดีอาญาว่า จำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์และ ยกฟ้องโจทก์ ก็ไม่จำต้อง ฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เพราะจำเลยอาจกระทำผิดกฎหมายอย่างอื่นเช่นกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ในการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไว้แล้วก็ ได้ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่
สามีโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ยอมความกันใน คดีอาญาโดยสามีโจทก์ตกลงผ่อนชำระหนี้ศาลสั่งจำหน่ายคดี เมื่อโจทก์ผิดนัด จำเลยที่ 1 ชอบที่จะ ฟ้องคดีต่อศาลบังคับให้ สามีโจทก์ชำระหนี้จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของ โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241และการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เป็นอำนาจของศาลและของ เจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเฉพาะ ดังนั้น การที่จำเลยที่1และทหารพรานยึดรถยนต์ที่อยู่ใน ความครอบครอง ของ โจทก์ไป อ้างว่าเป็นรถยนต์ผิดกฎหมาย นำส่งพนักงานสอบสวน โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายจึงเป็น การกระทำ โดยละเมิดต่อโจทก์