พบผลลัพธ์ทั้งหมด 412 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.แรงงานฯ มาตรา 54 ภายใน 15 วัน
คดีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดในคดีแรงงาน เป็นคดีที่สืบเนื่องมาจากคดีแรงงาน เมื่อศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องผู้ร้องจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้เฉพาะแต่ในข้อกฎหมายไปยังศาลฎีกาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางในคดีขัดทรัพย์ต้องเป็นไปตามมาตรา 54 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ ภายใน 15 วัน
ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ต่อศาลแรงงานกลาง คดีจึงเป็นคดีที่สืบเนื่องมาจากคดีแรงงาน การอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามวิธีที่ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54กล่าวไว้โดยเฉพาะ นั่นคือ จะกระทำได้ก็แต่เฉพาะ การอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายไปยังศาลฎีกาภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น จะอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์หลังจากพ้นกำหนดให้อุทธรณ์นั้นแล้วมิได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.แรงงาน ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นศาลอุทธรณ์จะไม่รับวินิจฉัย
คดีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดในคดีแรงงาน เป็นคดีที่สืบเนื่องมาจากคดีแรงงาน เมื่อศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องผู้ร้องจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้เฉพาะแต่ในข้อกฎหมายไปยังศาลฎีกาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาห้ามอุทธรณ์ประเด็นที่ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว และประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานฟัง
ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมและคดีขาดอายุความไปแล้ว และย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาในประเด็นข้ออื่น เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีใหม่ จำเลยจะยกปัญหาดังกล่าวซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยยุติไปแล้วขึ้นอุทธรณ์อีกไม่ได้ ต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า เมื่อโจทก์จำเลยมิใช่นายจ้างลูกจ้างกันแล้ว กรณีโจทก์จำเลยจึงไม่ใช่คดีพิพาทที่เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ที่จำนำคดีมาฟ้องยังศาลแรงงานได้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา54
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การเลิกจ้างของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหาย พิพากษายกคำขอของโจทก์ในข้อนี้และโจทก์มิได้อุทธรณ์ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง จำเลยมีสิทธิ์เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายและถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์มิใช่ลูกจ้างประจำของจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในค่าชดเชย ฯลฯ แก่โจทก์ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า เมื่อโจทก์จำเลยมิใช่นายจ้างลูกจ้างกันแล้ว กรณีโจทก์จำเลยจึงไม่ใช่คดีพิพาทที่เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ที่จำนำคดีมาฟ้องยังศาลแรงงานได้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา54
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การเลิกจ้างของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหาย พิพากษายกคำขอของโจทก์ในข้อนี้และโจทก์มิได้อุทธรณ์ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง จำเลยมีสิทธิ์เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายและถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์มิใช่ลูกจ้างประจำของจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในค่าชดเชย ฯลฯ แก่โจทก์ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งเงินทดแทน: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์โต้แย้งการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลแรงงาน
อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากความเห็นแพทย์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีเมื่อลูกหนี้มีคดีหักลบลบหนี้กับเจ้าหนี้ ศาลแรงงานกลางใช้อำนาจดุลพินิจไม่อนุญาต
ในชั้นบังคับคดีจำเลยร้องขอให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา293ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าไม่อาจหักกลบลบหนี้กันได้ให้ออกหมายบังคับคดีเช่นนี้จึงมีผลเป็นว่าศาลแรงงานกลางได้ใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้งดการบังคับคดีจำเลยจะอุทธรณ์ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไม่ได้เพราะเป็นการอุทธรณ์ดุลพินิจของศาลแรงงานกลางซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา54.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4433/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญา การแยกมูลหนี้ และอำนาจศาลแรงงาน
เมื่อมูลหนี้ที่จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิด ต่างแยกออกจากกันได้เป็นการเฉพาะตัวแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยที่ 1 ทำกับโจทก์ ย่อมมีผลผูกพันเฉพาะจำเลยที่ 1กับโจทก์เท่านั้น มูลหนี้เดิมจะระงับหรือไม่ระงับ ก็มีผลเฉพาะคู่สัญญา จำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้ถือว่า ตนมีหนี้แยกต่างหากจากจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจจะถือประโยชน์ อันเกิดแต่สัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นประโยชน์แก่ตนได้ มูลหนี้ละเมิดที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ต้องรับผิดต่อโจทก์ หาระงับด้วยสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังกล่าวไม่ สิทธิในการฟ้องร้องคดีหรืออำนาจฟ้องกับสิทธิที่จะบังคับ คดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นกรณีที่แตกต่างกันอยู่ในขั้นตอนที่ต่างกันจะนำมาพิจารณาคละระคนด้วยกันหาได้ไม่แม้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วจำเลยจะยกเอาการบังคับคดีที่อาจมีได้สองทางโดยจะเกิดขึ้นหรือไม่ยังไม่เป็นการแน่นอนขึ้นต่อสู้ เพื่อปฏิเสธความรับผิดในมูลหนี้ตามคำฟ้องเสียแต่แรกนั้น หาเป็น การถูกต้องไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ที่ 3มีอำนาจหน้าที่ประการใด จำเลยทั้งสอง หาได้ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นไม่ จงใจหรือประมาทเลินเล่อ ในการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ประการใด ทำให้โจทก์เสียหายอย่างใด แล้วสรุปว่าการกระทำของจำเลยทั้งสอง เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ และเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน ดังนี้ เป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างโจทก์ผู้เป็นนายจ้าง และจำเลยเป็นผู้ถูกจ้าง อันเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน ต้องด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ พ.ศ. 2522 มาตรา 8(5)ศาลแรงงานกลางจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ มูลหนี้ละเมิดอันเป็นมูลหนี้เดิมที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ได้ระงับสิ้นไปแล้ว และทำให้โจทก์ได้รับหนี้หรือสิทธิขึ้นใหม่ตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งโจทก์ได้ฟ้อง จำเลยที่ 1 ด้วยมูลหนี้ตามสัญญาดังกล่าวแล้ว แต่โจทก์ยังมิได้ รับชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจากจำเลยที่ 1 ความรับผิด ในมูลหนี้ละเมิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ระงับสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3771/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม: ไม่ต้องร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ก่อนฟ้องศาล
จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุว่า โจทก์กระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โจทก์จึงฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 49 ปัญหาจึงมีเพียงว่าการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ คดีไม่มีกรณีที่จะต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 123 โจทก์จึงไม่จำต้องยื่นคำร้องกล่าวหาผู้ฝ่าฝืนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์โจทก์มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจคณะกรรมการคุ้มครองการทำงานในการอนุญาตเลิกจ้าง และขอบเขตการวินิจฉัยของศาลแรงงาน
คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยคดีว่าพฤติการณ์ของจำเลยร่วมที่ถูกอ.ภรรยาข.ครูร่วมโรงเรียนใช้ถุงกระดาษใส่ผ้าปาในบริเวรโรงเรียนและถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับข.นั้นคณะกรรมการคุ้มครองการทำงานมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของและผู้รับอนุญาตประกอบกิจการโรงเรียนเลิกจ้างจำเลยร่วมโดยขัดต่อบทบัญญัติในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518มาตรา123หรือไม่อันเป็นการตกลงกันขอให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นเพียงว่าคณะกรรมการคุ้มครองการทำงานมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยร่วมโดยขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518มาตรา123ได้หรือไม่เป็นข้อแพ้ชนะเท่านั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าขณะเลิกจ้างจำเลยร่วมเป็นกรรมการสหภาพแรงงานและคำชี้ขาดยังมีผลใช้บังคับอยู่จำเลยร่วมจึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518มาตรา123และแม้กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นของบทกฎหมายดังกล่าวเหตุเลิกจ้างจำเลยร่วมก็มีเหตุอันสมควรอื่นที่จะเลิกจ้างได้มิใช่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมจึงเป็นการวินิจฉัยที่นอกเหนือไปจากข้อตกลงของคู่ความ. ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนพ.ศ.2525มาตรา78คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานไม่มีอำนาจออกคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเลิกจ้างครูผู้เป็นลูกจ้างได้ที่คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานได้ประชุมมีมติว่าหากเจ้าของโรงเรียนเห็นว่าพฤติการณ์ของครูทั้งสองไม่เหมาะสมที่จะให้เป็นครูของโรงเรียนต่อไปก็เป็นสิทธิของเจ้าของโรงเรียนที่จะเลิกจ้างได้เป็นเพียงข้อเสนอแนะไม่ใช่คำสั่งอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยเช่นนี้ศาลไม่อาจพิจารณาชี้ขาดตามที่คู่ความได้ตกลงกันขอให้วินิจฉัยจึงจำต้องพิจารณาและพิพากษาต่อไปตามรูปคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3551/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การก่อนมีคำพิพากษา ศาลต้องวินิจฉัยก่อนพิพากษา
ศาลแรงงานกลางซึ่งพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดสกลนครมีคำสั่งให้งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 14 เมษายน 2529 จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การต่อศาลจังหวัดสกลนครเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2529 ศาลจังหวัดสกลนครส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลแรงงานกลางเพื่อพิจารณาสั่ง ศาลแรงงานกลางได้รับคำร้องเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2529 จึงสั่งว่า 'ศาลพิพากษาคดีแล้ว รวม' ดังนี้ คดีไม่มีการชี้สองสถานหรือสืบพยาน แม้ศาลแรงงานกลางจะมีคำสั่งงดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลแรงงานกลางยังมิได้พิพากษา ย่อมถือว่าอยู่ในระยะเวลาที่จำเลยอาจยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การได้ จึงชอบที่จะได้วินิจฉัยสั่งคำร้องดังกล่าวว่าสมควรอนุญาตให้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การหรือไม่ ศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีไปโดยมิได้วินิจฉัยสั่งคำร้องของจำเลย จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาสั่งคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลย แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี