พบผลลัพธ์ทั้งหมด 391 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 847/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงปากเปล่าเกี่ยวกับการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการทำถนน ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสัญญากู้ สามารถนำสืบพยานได้และหักกลบลบหนี้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ขายที่ดินให้จำเลย จำเลยชำระราคายังไม่ครบเงินจำนวนที่ยังค้างอยู่นั้น โจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ตามฟ้องให้โจทก์ไว้ โดยตกลงกันด้วยปากเปล่าว่าเมื่อจำเลยทำถนนในที่ดินนั้นแล้ว โจทก์จะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง จะคิดหักเงินให้เมื่อทำเสร็จแล้ว ต่อมาจำเลยทำถนนเสร็จแล้วเมื่อคิดหักเงินส่วนที่โจทก์จะต้องออกแล้วจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์น้อยกว่าจำนวนที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ ข้อตกลงเช่นนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจากสัญญากู้ จำเลยจึงนำสืบพยานบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 และหนี้ดังกล่าวก็อยู่ในลักษณะที่อาจหักกลบลบหนี้กันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 522/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญากู้ใหม่หรือรวมหนี้เดิม ไม่เป็นการแปลงหนี้ และการนำสืบที่มาของหนี้ไม่ถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร
บุคคลที่เป็นหนี้เงินกู้ต่อกันนั้น อาจตกลงทำหนังสือกู้กันใหม่หรือนำเงินกู้รายก่อน ๆ มารวมในหนังสือกู้ครั้งหลังได้ และการนำสืบถึงที่มาแห่งหนี้ตามสัญญากู้ฉบับหลังย่อมมิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร เพราะแม้นำสืบได้ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขความรับผิดตามเอกสาร
หนี้เงินกู้ซึ่งทำหนังสือกู้กันใหม่ โดยรวมจำนวนเงินกู้ครั้งหลังเข้าไว้ด้วยกันนั้น มิใช่เป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่ เพราะไม่มีการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้แต่อย่างไร
ผู้กู้จะขอนำสืบว่า ผู้ให้กู้เอาจำนวนดอกเบี้ยเกินอัตรามารวมเป็นต้นเงินในสัญญากู้ได้ เพราะเป็นการนำสืบว่าหนี้อันเกิดจากดอกเบี้ยเกินอัตรานั้นไม่สมบูรณ์อย่างหนึ่ง
หนี้เงินกู้ซึ่งทำหนังสือกู้กันใหม่ โดยรวมจำนวนเงินกู้ครั้งหลังเข้าไว้ด้วยกันนั้น มิใช่เป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่ เพราะไม่มีการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้แต่อย่างไร
ผู้กู้จะขอนำสืบว่า ผู้ให้กู้เอาจำนวนดอกเบี้ยเกินอัตรามารวมเป็นต้นเงินในสัญญากู้ได้ เพราะเป็นการนำสืบว่าหนี้อันเกิดจากดอกเบี้ยเกินอัตรานั้นไม่สมบูรณ์อย่างหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 522/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญากู้ใหม่ – ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของหนี้เดิม
หนี้เงินกู้ ซึ่งทำหนังสือกู้กันใหม่ โดยรวมจำนวนเงินกู้ครั้งหลังเข้าไว้ด้วยนั้น มิใช่เป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่เพราะไม่มีการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้แต่อย่างใด
บุคคลที่เป็นหนี้เงินกู้ต่อกัน อาจตกลงทำหนังสือกู้กันใหม่หรือนำเงินกู้รายก่อนๆ มารวมในหนังสือกู้ครั้งหลังได้และการนำสืบถึงที่มาแห่งหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ฉบับหลังย่อมมิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารเพราะแม้นำสืบได้ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขความรับผิดตามเอกสาร
ผู้กู้จะขอนำสืบว่า ผู้ให้กู้เอาจำนวนดอกเบี้ยเกินอัตรามารวมเป็นต้นเงินในสัญญากู้ได้ เพราะเป็นการนำสืบว่าหนี้อันเกิดจากดอกเบี้ยเกินอัตรานั้น ไม่สมบูรณ์อย่างหนึ่ง
บุคคลที่เป็นหนี้เงินกู้ต่อกัน อาจตกลงทำหนังสือกู้กันใหม่หรือนำเงินกู้รายก่อนๆ มารวมในหนังสือกู้ครั้งหลังได้และการนำสืบถึงที่มาแห่งหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ฉบับหลังย่อมมิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารเพราะแม้นำสืบได้ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขความรับผิดตามเอกสาร
ผู้กู้จะขอนำสืบว่า ผู้ให้กู้เอาจำนวนดอกเบี้ยเกินอัตรามารวมเป็นต้นเงินในสัญญากู้ได้ เพราะเป็นการนำสืบว่าหนี้อันเกิดจากดอกเบี้ยเกินอัตรานั้น ไม่สมบูรณ์อย่างหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 36/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสัญญากู้ การนำสืบหลักฐานนอกฟ้อง
ในกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ จำเลยต่อสู้คดีข้อหนึ่งว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาที่นำมาฟ้อง โจทก์ย่อมนำสืบได้ว่า เอาสัญญากู้รายเก่ามาเปลี่ยนทำเป็นสัญญากู้ใหม่โดยเอาดอกเบี้ยที่ค้างทบต้นเงินรวมเป็นจำนวนเงินกู้ใหม่ในสัญญาที่โจทก์ฟ้องได้ไม่เป็นการสืบนอกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1671/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนข้อผูกพันจากสัญญาเดิมเป็นสัญญากู้ และผลของการปฏิเสธความรับผิดตามสัญญากู้
โจทก์จำเลยมีหนี้สินเกี่ยวค้างกันคิดบัญชีแล้วจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ โจทก์ให้จำเลยทำเป็นสัญญากู้ จำเลยก็ทำให้ดังนี้ เป็นกรณีที่คู่สัญญาตกลงเปลี่ยนข้อผูกพันจากสัญญาเดิมมาผูกพันกันในลักษณะกู้เงิน การกู้เงินจึงเป็นนิติกรรมที่แสดงออกโดยเจตนาแท้จริงที่จะผูกพันกันตามที่แสดงนั้น หาใช่นิติกรรมอำพรางอย่างใดไม่
การที่โจทก์มาฟ้องหนี้เงินกู้ก่อนถึงกำหนดชำระนั้น เมื่อจำเลยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าเป็นนิติกรรมอำพราง ก็เป็นการแสดงว่าจำเลยปฏิเสธไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้ เท่ากับจำเลยไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลา โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยใช้หนี้ได้โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดตามเงื่อนเวลา
การที่โจทก์มาฟ้องหนี้เงินกู้ก่อนถึงกำหนดชำระนั้น เมื่อจำเลยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าเป็นนิติกรรมอำพราง ก็เป็นการแสดงว่าจำเลยปฏิเสธไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้ เท่ากับจำเลยไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลา โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยใช้หนี้ได้โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดตามเงื่อนเวลา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1671/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนข้อผูกพันสัญญาเดิมเป็นสัญญากู้ และผลของการอ้างนิติกรรมอำพรางต่อเงื่อนเวลา
สองฝ่ายมีหนี้สินเกี่ยวค้างกัน คิดบัญชีกันแล้วฝ่ายหนึ่งยังเป็นหนี้อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ จึงตกลงทำเป็นสัญญากู้ไว้ ดังนี้ เป็นกรณีที่คู่สัญญาตกลงเปลี่ยนข้อผูกพันจากสัญญาเดิมมาผูกพันตามสัญญากู้ สัญญากู้จึงไม่ใช่นิติกรรมอำพราง
เจ้าหนี้ฟ้องเรียกเงินกู้ก่อนถึงกำหนดชำระ ลูกหนี้ปฏิเสธความรับผิด อ้างว่าเป็นนิติกรรมอำพราง ย่อมแสดงว่าลูกหนี้ไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาในสัญญากู้นั้น เงื่อนเวลาจึงไม่เป็นข้อที่ลูกหนี้จะอ้างเป็นประโยชน์ได้ต่อไป
เจ้าหนี้ฟ้องเรียกเงินกู้ก่อนถึงกำหนดชำระ ลูกหนี้ปฏิเสธความรับผิด อ้างว่าเป็นนิติกรรมอำพราง ย่อมแสดงว่าลูกหนี้ไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาในสัญญากู้นั้น เงื่อนเวลาจึงไม่เป็นข้อที่ลูกหนี้จะอ้างเป็นประโยชน์ได้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1484/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารสัญญากู้ไม่ติดอากรแสตมป์ แต่จำเลยรับสารภาพ ย่อมใช้เป็นหลักฐานได้
แม้เอกสารสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยมิได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ อันจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ก็ตาม หากจำเลยให้การรับว่าได้ทำเอกสารนั้นให้โจทก์ไว้จริง ก็ย่อมฟังได้ว่า จำเลยกู้เงินโจทก์โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ โดยไม่ต้องอาศัยฟังจากเอกสาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 316/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการบอกล้างสัญญากู้โดยสามีต่อภรรยา: สิทธิบังคับคดีจากทรัพย์สินส่วนตัว
ภรรยาทำสัญญากู้เงินของเขามาและสามีได้บอกล้างสัญญาแล้วแม้การบอกล้างของสามีจะเป็นผลทำให้สัญญานั้นตกเป็นโมฆะได้ก็แต่เฉพาะเพียงเท่าที่ผูกพันสินบริคณฑ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 38 เท่านั้น หาได้กระทำให้ตกเป็นโมฆะทั้งหมดไม่ เพราะหญิงมีสามีเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วนิติกรรมที่ทำขึ้นจึงยังสมบูรณ์ผูกพันในทรัพย์สินส่วนตัวของภรรยาตาม มาตรา 37 ประกอบด้วย มาตรา 1479ผู้ให้กู้ก็มีสิทธิที่จะบังคับเอาจากทรัพย์สินส่วนของภรรยาได้
จำเลยรับว่า ได้ลงชื่อในใบยืมเงินไว้ในฐานะผู้กู้แล้วจะขอสืบข้อเท็จจริงว่าที่จำเลยลงชื่อไว้นั้น ได้ลงในฐานะผู้ค้ำประกันไม่ได้เป็นการสืบเถียงฝ่าฝืนเอกสารท้ายฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
จำเลยรับว่า ได้ลงชื่อในใบยืมเงินไว้ในฐานะผู้กู้แล้วจะขอสืบข้อเท็จจริงว่าที่จำเลยลงชื่อไว้นั้น ได้ลงในฐานะผู้ค้ำประกันไม่ได้เป็นการสืบเถียงฝ่าฝืนเอกสารท้ายฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานจากการตรวจพิสูจน์สัญญากู้ แม้จำเลยไม่ยินยอมชำระค่าอ้างรายงาน
โจทก์อ้างสัญญากู้และเสียค่าอ้างสำหรับสัญญากู้ไว้แล้วโดยชอบ จำเลยขอให้ศาลส่งสัญญากู้ไปให้ผู้ชำนาญตรวจพิสูจน์และขออ้างรายงานผลการตรวจพิสูจน์นั้นด้วย ทั้งจำเลยได้ยอมชำระค่าธรรมเนียมการตรวจพิสูจน์โดยครบถ้วน ถึง 2,000 บาท รายงานผลการตรวจพิสูจน์จึงเป็นเอกสารอันแท้จริง ในสำนวนเมื่อรายงานผลการตรวจพิสูจน์นั้นเป็นพิรุธแก่จำเลย และขัดแย้งกับคำพยานบุคคลของจำเลยจำเลยจึงไม่ยอมเสียค่ารายงานผลการตรวจพิสูจน์นั้น โดยจำเลยเห็นว่า ศาลจะได้ไม่รับฟังรายงานผลการตรวจพิสูจน์ดังกล่าว ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อรายงานผลการพิสูจน์นี้ปรากฏต่อศาล ศาลก็ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ตามนัย ป.วิ.พ. มาตรา 86 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 288/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสัญญาสั่งซื้อเป็นสัญญากู้: ข้อต่อสู้ที่ขัดต่อสัญญาค้ำประกัน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในฐานผู้ค้ำประกัน จำเลยต่อสู้ว่า ผู้ซื้อผู้ขายไม่ต้องการทำสัญญาซื้อขายต่อเจ้าหน้าที่ ผู้ซื้อคือโจทก์ เกรงว่าผู้ขายจะกลับถ้อยคืนคำ ผู้ซื้อให้ทำเป็นสัญญากู้จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ดังนี้ เป็นเรื่องคู่สัญญาเปลี่ยนความประสงค์เดิม เมื่อข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเรื่องคู่สัญญาสมัครใจเปลี่ยนทำสัญญากู้และค้ำประกัน แทนสัญญาซื้อขายเสียแล้ว การที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้เป็นการขัดต่อสัญญากู้และค้ำประกัน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา