พบผลลัพธ์ทั้งหมด 516 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1379/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสุดวิสัยทำให้ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา และการรับสภาพหนี้โดยไม่มีมูลหนี้
จำเลยทำสัญญารับจ้างเฝ้ารักษาไม้ของกลางไว้แก่โจทก์ถ้าไม้ขาดหายหรือเป็นอันตรายจำเลยยอมให้ปรับเป็นเงินต่อมาเกิดอุทกภัยพัดพาเอาไม้ของกลางสูญหายไปทั้งหมดอันถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจึงไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาฉะนั้นแม้จำเลยจะทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แก่โจทก์และชำระหนี้ให้แก่โจทก์ไปบางส่วนแล้วก็หามีผลให้จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์อีกไม่เพราะเป็นการรับสภาพหนี้โดยปราศจากมูลหนี้ที่จะให้รับสภาพจึงไม่มีผลบังคับแก่กัน(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 484/2516).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1371/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสุดวิสัย vs. ความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่ และการเริ่มนับอายุความของความรับผิดของผู้ขนส่ง
เหตุสุดวิสัยนั้นย่อมหมายถึงเหตุใดๆอันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดีไม่มีใครจะอาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นจะได้จัดการระมัดระวังตามสมควร อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลเช่นนั้นในฐานะเช่นนั้น
พนักงานขับรถของจำเลยได้ขับรถออกนอกผิวจราจรโดยมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร ประกอบกับรถยนต์ของจำเลยบรรทุกของหนักเป็นเหตุให้ดินที่ขอบไหล่ถนนทางด้านซ้ายทรุดหรือยุบทำให้รถยนต์ของจำเลยเสียหลักแล่นตะแคงพลิกคว่ำตกลงไปข้างถนนซึ่งพนักงานของจำเลยมีทางที่จะป้องกันมิให้เหตุนั้นเกิดขึ้นได้ หากใช้ความระมัดระวังขับรถบนผิวจราจรของถนนในช่องทางเดินรถของตนตามปกติ เมื่อมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นความประมาทเลินเล่อมิใช่เหตุสุดวิสัย
โจทก์ได้นำรถยนต์บรรทุกมาบรรทุกเครื่องแยกแร่แม่เหล็กของตนที่ได้รับความเสียหายในระหว่างการขนส่งของจำเลยจากที่เกิดเหตุไปเก็บรักษาไว้ที่บริษัทโจทก์เป็นการนำไปเก็บรักษาไว้ชั่วคราวเพื่อป้องกันมิให้สูญหาย อันเป็นการช่วยบรรเทาผลร้ายให้แก่จำเลยแต่ต่อมาจำเลยได้ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่างของจำเลยไปตรวจสอบความเสียหายของเครื่องแยกแร่แม่เหล็กของโจทก์ที่จำเลยได้ทำการซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยให้แก่โจทก์ ณ ปลายทางตามที่ได้ตกลงกันไว้ในการรับขนส่ง แต่โจทก์เสนอให้มีการทดสอบแล้วส่งผลไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจวิเคราะห์และจำเลยตกลงรับข้อเสนอของโจทก์ แต่กรณีเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญที่จะทำการตรวจวิเคราะห์ผลที่ได้จากการทดสอบตกลงกันไม่ได้ โจทก์จึงฟ้องจำเลยตามพฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่ามีการส่งมอบเครื่องแยกแร่แม่เหล็กให้แก่โจทก์แล้วอายุความเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยในฐานะผู้ขนส่งจึงยังไม่เริ่มนับ
การที่รถยนต์บรรทุกของจำเลยตะแคงพลิกคว่ำลงข้างถนนในระหว่างขนส่งเครื่องแยกแร่แม่เหล็กมาให้โจทก์ เครื่องแยกแร่แม่เหล็กของโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงชำรุดบุบสลาย มิใช่เป็นการสูญหายหรือบุบสลายโดยสิ้นเชิงจนไม่สามารถใช้การได้ เมื่อจำเลยได้ทำการซ่อมแซมแล้วเครื่องแยกแร่แม่เหล็กของโจทก์ก็ยังใช้การได้ แต่ไม่ดีดังสภาพเดิมโจทก์จะปฏิเสธไม่ยอมรับเครื่องแยกแร่แม่เหล็กดังกล่าว โดยจะขอให้จำเลยชดใช้ราคาทั้งหมดรวมทั้งค่าภาษีค่าโกดังเก็บสินค้าและค่าระวางพาหนะขนส่งของจำเลยหาได้ไม่โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
พนักงานขับรถของจำเลยได้ขับรถออกนอกผิวจราจรโดยมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร ประกอบกับรถยนต์ของจำเลยบรรทุกของหนักเป็นเหตุให้ดินที่ขอบไหล่ถนนทางด้านซ้ายทรุดหรือยุบทำให้รถยนต์ของจำเลยเสียหลักแล่นตะแคงพลิกคว่ำตกลงไปข้างถนนซึ่งพนักงานของจำเลยมีทางที่จะป้องกันมิให้เหตุนั้นเกิดขึ้นได้ หากใช้ความระมัดระวังขับรถบนผิวจราจรของถนนในช่องทางเดินรถของตนตามปกติ เมื่อมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นความประมาทเลินเล่อมิใช่เหตุสุดวิสัย
โจทก์ได้นำรถยนต์บรรทุกมาบรรทุกเครื่องแยกแร่แม่เหล็กของตนที่ได้รับความเสียหายในระหว่างการขนส่งของจำเลยจากที่เกิดเหตุไปเก็บรักษาไว้ที่บริษัทโจทก์เป็นการนำไปเก็บรักษาไว้ชั่วคราวเพื่อป้องกันมิให้สูญหาย อันเป็นการช่วยบรรเทาผลร้ายให้แก่จำเลยแต่ต่อมาจำเลยได้ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่างของจำเลยไปตรวจสอบความเสียหายของเครื่องแยกแร่แม่เหล็กของโจทก์ที่จำเลยได้ทำการซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยให้แก่โจทก์ ณ ปลายทางตามที่ได้ตกลงกันไว้ในการรับขนส่ง แต่โจทก์เสนอให้มีการทดสอบแล้วส่งผลไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจวิเคราะห์และจำเลยตกลงรับข้อเสนอของโจทก์ แต่กรณีเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญที่จะทำการตรวจวิเคราะห์ผลที่ได้จากการทดสอบตกลงกันไม่ได้ โจทก์จึงฟ้องจำเลยตามพฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่ามีการส่งมอบเครื่องแยกแร่แม่เหล็กให้แก่โจทก์แล้วอายุความเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยในฐานะผู้ขนส่งจึงยังไม่เริ่มนับ
การที่รถยนต์บรรทุกของจำเลยตะแคงพลิกคว่ำลงข้างถนนในระหว่างขนส่งเครื่องแยกแร่แม่เหล็กมาให้โจทก์ เครื่องแยกแร่แม่เหล็กของโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงชำรุดบุบสลาย มิใช่เป็นการสูญหายหรือบุบสลายโดยสิ้นเชิงจนไม่สามารถใช้การได้ เมื่อจำเลยได้ทำการซ่อมแซมแล้วเครื่องแยกแร่แม่เหล็กของโจทก์ก็ยังใช้การได้ แต่ไม่ดีดังสภาพเดิมโจทก์จะปฏิเสธไม่ยอมรับเครื่องแยกแร่แม่เหล็กดังกล่าว โดยจะขอให้จำเลยชดใช้ราคาทั้งหมดรวมทั้งค่าภาษีค่าโกดังเก็บสินค้าและค่าระวางพาหนะขนส่งของจำเลยหาได้ไม่โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1371/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสุดวิสัย vs. ความประมาทเลินเล่อในการขนส่งสินค้า และการคิดค่าเสียหายจากความชำรุด
เหตุสุดวิสัยนั้นย่อมหมายถึงเหตุใดๆอันจะเกิดขึ้นก็ดีจะให้ผลพิบัติก็ดีไม่มีใครจะอาจป้องกันได้แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นจะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลเช่นนั้นในฐานะเช่นนั้น พนักงานขับรถของจำเลยได้ขับรถออกนอกผิวจราจรโดยมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรประกอบกับรถยนต์ของจำเลยบรรทุกของหนักเป็นเหตุให้ดินที่ขอบไหล่ถนนทางด้านซ้ายทรุดหรือยุบทำให้รถยนต์ของจำเลยเสียหลักแล่นตะแคงพลิกคว่ำตกลงไปข้างถนนซึ่งพนักงานของจำเลยมีทางที่จะป้องกันมิให้เหตุนั้นเกิดขึ้นได้หากใช้ความระมัดระวังขับรถบนผิวจราจรของถนนในช่องทางเดินรถของตนตามปกติเมื่อมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นความประมาทเลินเล่อมิใช่เหตุสุดวิสัย โจทก์ได้นำรถยนต์บรรทุกมาบรรทุกเครื่องแยกแร่แม่เหล็กของตนที่ได้รับความเสียหายในระหว่างการขนส่งของจำเลยจากที่เกิดเหตุไปเก็บรักษาไว้ที่บริษัทโจทก์เป็นการนำไปเก็บรักษาไว้ชั่วคราวเพื่อป้องกันมิให้สูญหาย อันเป็นการช่วยบรรเทาผลร้ายให้แก่จำเลยแต่ต่อมาจำเลยได้ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่างของจำเลยไปตรวจสอบความเสียหายของเครื่องแยกแร่แม่เหล็กของโจทก์ที่จำเลยได้ทำการซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยให้แก่โจทก์ณปลายทางตามที่ได้ตกลงกันไว้ในการรับขนส่งแต่โจทก์เสนอให้มีการทดสอบแล้วส่งผลไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจวิเคราะห์และจำเลยตกลงรับข้อเสนอของโจทก์แต่กรณีเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญที่จะทำการตรวจวิเคราะห์ผลที่ได้จากการทดสอบตกลงกันไม่ได้โจทก์จึงฟ้องจำเลยตามพฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่ามีการส่งมอบเครื่องแยกแร่แม่เหล็กให้แก่โจทก์แล้วอายุความเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยในฐานะผู้ขนส่งจึงยังไม่เริ่มนับ การที่รถยนต์บรรทุกของจำเลยตะแคงพลิกคว่ำลงข้างถนนในระหว่างขนส่งเครื่องแยกแร่แม่เหล็กมาให้โจทก์เครื่องแยกแร่แม่เหล็กของโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงชำรุดบุบสลายมิใช่เป็นการสูญหายหรือบุบสลายโดยสิ้นเชิงจนไม่สามารถใช้การได้เมื่อจำเลยได้ทำการซ่อมแซมแล้วเครื่องแยกแร่แม่เหล็กของโจทก์ก็ยังใช้การได้แต่ไม่ดีดังสภาพเดิมโจทก์จะปฏิเสธไม่ยอมรับเครื่องแยกแร่แม่เหล็กดังกล่าวโดยจะขอให้จำเลยชดใช้ราคาทั้งหมดรวมทั้งค่าภาษีค่าโกดังเก็บสินค้าและค่าระวางพาหนะขนส่งของจำเลยหาได้ไม่โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3457/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาใหม่หลังขาดนัดฟ้อง - กำหนดเวลาและเหตุสุดวิสัย
การที่จำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเป็นแต่เพียงเหตุที่จำเลยอาจขอให้พิจารณาใหม่ได้ แต่การยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่จะต้องกระทำภายในระยะเวลาตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก
ส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2524 จะมีผลใช้ได้เมื่อกำหนดเวลา 15 วันได้ล่วงพ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสอง จึงมีผลในวันที่ 29 พฤษภาคม 2524 จำเลยอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผล ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 13 มิถุนายน 2524 แต่จำเลยไม่ทราบการถูกฟ้องและการส่งคำบังคับ การที่จำเลยมิได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในวันที่ 13 มิถุนายน 2524 นับได้ว่าไม่สามารถยื่นคำขอโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ จึงอาจยื่นคำขอได้ภายในกำหนด15 วันนับแต่พฤติการณ์นั้นสิ้นสุดลง จำเลยทราบว่าถูกยึดที่ดินตามคำบังคับเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2524 ถือได้ว่าได้ทราบถึงการส่งคำบังคับแล้ว พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ย่อมสิ้นสุดลงในวันดังกล่าว จำเลยจะต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2524 แต่เพิ่งมายื่นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2524 ซึ่งล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ย่อมไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่
ส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2524 จะมีผลใช้ได้เมื่อกำหนดเวลา 15 วันได้ล่วงพ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสอง จึงมีผลในวันที่ 29 พฤษภาคม 2524 จำเลยอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผล ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 13 มิถุนายน 2524 แต่จำเลยไม่ทราบการถูกฟ้องและการส่งคำบังคับ การที่จำเลยมิได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในวันที่ 13 มิถุนายน 2524 นับได้ว่าไม่สามารถยื่นคำขอโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ จึงอาจยื่นคำขอได้ภายในกำหนด15 วันนับแต่พฤติการณ์นั้นสิ้นสุดลง จำเลยทราบว่าถูกยึดที่ดินตามคำบังคับเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2524 ถือได้ว่าได้ทราบถึงการส่งคำบังคับแล้ว พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ย่อมสิ้นสุดลงในวันดังกล่าว จำเลยจะต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2524 แต่เพิ่งมายื่นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2524 ซึ่งล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ย่อมไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2948/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาการยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่หลังขาดนัด โดยคำนึงถึงเหตุสุดวิสัยและการสิ้นสุดของเหตุนั้น
โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องยังสถานที่ซึ่งมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย จำเลยจึงไม่มีโอกาสทราบว่าถูกฟ้องเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ แต่พฤติการณ์เช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลงในวันที่ 11 มีนาคม 2525 เมื่อจำเลยทราบจากธนาคารว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินฝากในบัญชีกระแสรายวันของจำเลย จำเลยจะต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน คือเริ่มนับแต่วันที่ 12 และครบกำหนดในวันที่ 26 มีนาคม 2525 การที่จำเลยมายื่นคำร้องเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2525 จึงเป็นอันพ้นกำหนดเวลาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 208
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2678/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้รับมอบขนส่งและการยกเว้นความรับผิดจากเหตุสุดวิสัยที่ต้องป้องกันได้
ฟ้องของโจทก์แปลได้ว่าโจทก์ซื้อวิทยุแล้วมอบให้ผู้ขายเป็นตัวแทนนำเอาวิทยุไปให้จำเลยทำการขนส่งไปให้โจทก์ และในทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าที่ผู้ขายกระทำไปนั้นเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของโจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้จ่ายค่าขนส่งเอง ผู้ขายจึงเป็นตัวแทนของโจทก์ในการทำสัญญาขนส่งวิทยุกับจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นตัวการจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญารับขนได้
เหตุสุดวิสัยนั้นต้องเป็นเหตุผิดปกติสุดวิสัยที่คิดว่าจะมีขึ้น หากเป็นกรณีที่อาจป้องกันผลพิบัติได้ถ้าได้จัดการระมัดระวังตามสมควรแล้ว ก็มิใช่เหตุที่จะป้องกันไม่ได้ จำเลยรับขนวิทยุไปให้โจทก์โดยบรรทุกมาในรถ ถ้าหากลูกจ้างของจำเลยใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูแลสินค้าที่บรรทุกมาในระหว่างจอดพักรถ คนร้ายก็จะไม่สามารถขโมยเอาวิทยุไปได้จึงอยู่ในวิสัยที่จะป้องกันได้ ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย
เหตุสุดวิสัยนั้นต้องเป็นเหตุผิดปกติสุดวิสัยที่คิดว่าจะมีขึ้น หากเป็นกรณีที่อาจป้องกันผลพิบัติได้ถ้าได้จัดการระมัดระวังตามสมควรแล้ว ก็มิใช่เหตุที่จะป้องกันไม่ได้ จำเลยรับขนวิทยุไปให้โจทก์โดยบรรทุกมาในรถ ถ้าหากลูกจ้างของจำเลยใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูแลสินค้าที่บรรทุกมาในระหว่างจอดพักรถ คนร้ายก็จะไม่สามารถขโมยเอาวิทยุไปได้จึงอยู่ในวิสัยที่จะป้องกันได้ ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2678/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญารับขน: ตัวแทน, ตัวการ, ความรับผิดจากความประมาทเลินเล่อ และเหตุสุดวิสัย
ฟ้องของโจทก์แปลได้ว่าโจทก์ซื้อวิทยุแล้วมอบให้ผู้ขายเป็นตัวแทนนำเอาวิทยุไปให้จำเลยทำการขนส่งไปให้โจทก์และในทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าที่ผู้ขายกระทำไปนั้นเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของโจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้จ่ายค่าขนส่งเอง ผู้ขายจึงเป็นตัวแทนของโจทก์ในการทำสัญญาขนส่งวิทยุกับจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นตัวการจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญารับขนได้
เหตุสุดวิสัยนั้นต้องเป็นเหตุผิดปกติสุดวิสัยที่คิดว่าจะมีขึ้น หากเป็นกรณีที่อาจป้องกันผลพิบัติได้ถ้าได้จัดการระมัดระวังตามสมควรแล้ว ก็มิใช่เหตุที่จะป้องกันไม่ได้ จำเลยรับขนวิทยุไปให้โจทก์โดยบรรทุกมาในรถ ถ้าหากลูกจ้างของจำเลยใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูแลสินค้าที่บรรทุกมาในระหว่างจอดพักรถ คนร้ายก็จะไม่สามารถขโมยเอาวิทยุไปได้จึงอยู่ในวิสัยที่จะป้องกันได้ ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย
เหตุสุดวิสัยนั้นต้องเป็นเหตุผิดปกติสุดวิสัยที่คิดว่าจะมีขึ้น หากเป็นกรณีที่อาจป้องกันผลพิบัติได้ถ้าได้จัดการระมัดระวังตามสมควรแล้ว ก็มิใช่เหตุที่จะป้องกันไม่ได้ จำเลยรับขนวิทยุไปให้โจทก์โดยบรรทุกมาในรถ ถ้าหากลูกจ้างของจำเลยใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูแลสินค้าที่บรรทุกมาในระหว่างจอดพักรถ คนร้ายก็จะไม่สามารถขโมยเอาวิทยุไปได้จึงอยู่ในวิสัยที่จะป้องกันได้ ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้มละลาย: เหตุสุดวิสัย, จำนวนหนี้, การส่งหนังสือทวงถาม, และการส่งสำเนาคำฟ้อง
การที่จำเลยไม่สามารถหาเรือมาบรรทุกน้ำมันเพื่อส่งมอบให้โจทก์ได้นั้นเป็นเรื่องด้อยความสามารถของจำเลยเอง และการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นเป็นเหตุให้จำเลยขาดทุนก็เป็นธรรมดาของการค้าขายซึ่งอาจจะมีทั้งกำไรและขาดทุน พฤติการณ์ดังกล่าวมิใช่เหตุสุดวิสัยตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นค่าปรับซึ่งสามารถคำนวณได้จากปริมาณน้ำมันที่จำเลยไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ได้ครบจำนวนที่สั่งซื้อ ซึ่งคำนวณแล้วเป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตามมาตรา 9(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย และโจทก์ไม่จำเป็นต้องสืบพยานให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่
เมื่อผู้จัดการบริษัทจำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ทั้งสองฉบับจากโจทก์แล้ว แม้หนังสือนั้นได้ส่งไปยังที่อยู่ของผู้จัดการบริษัทจำเลยซึ่งไม่ใช่ภูมิลำเนาอันเป็นที่ตั้งของบริษัทจำเลยก็ตาม ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามดังกล่าวโดยชอบแล้ว และหนังสือทั้งสองฉบับนี้ได้ส่งในระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยไม่ชำระหนี้ตามหนังสือทวงถามกรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8(9) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
การที่ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยปิดไว้ ณ สำนักงานบริษัทจำเลยตามที่จดทะเบียนไว้นั้น เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว
หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นค่าปรับซึ่งสามารถคำนวณได้จากปริมาณน้ำมันที่จำเลยไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ได้ครบจำนวนที่สั่งซื้อ ซึ่งคำนวณแล้วเป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตามมาตรา 9(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย และโจทก์ไม่จำเป็นต้องสืบพยานให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่
เมื่อผู้จัดการบริษัทจำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ทั้งสองฉบับจากโจทก์แล้ว แม้หนังสือนั้นได้ส่งไปยังที่อยู่ของผู้จัดการบริษัทจำเลยซึ่งไม่ใช่ภูมิลำเนาอันเป็นที่ตั้งของบริษัทจำเลยก็ตาม ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามดังกล่าวโดยชอบแล้ว และหนังสือทั้งสองฉบับนี้ได้ส่งในระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยไม่ชำระหนี้ตามหนังสือทวงถามกรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8(9) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
การที่ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยปิดไว้ ณ สำนักงานบริษัทจำเลยตามที่จดทะเบียนไว้นั้น เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสุดวิสัย-หนี้สินล้นพ้นตัว: ศาลยืนตามเดิม เหตุผลการขาดส่งมอบน้ำมันไม่ใช่เหตุสุดวิสัย และการส่งหนังสือทวงถามชอบแล้ว
การที่จำเลยไม่สามารถหาเรือมาบรรทุกน้ำมันเพื่อส่งมอบให้โจทก์ได้นั้นเป็นเรื่องด้อยความสามารถของจำเลยเองและการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นเป็นเหตุให้จำเลยขาดทุนก็เป็นธรรมดาของการค้าขายซึ่งอาจจะมีทั้งกำไรและขาดทุน พฤติการณ์ดังกล่าวมิใช่เหตุสุดวิสัยตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นค่าปรับซึ่งสามารถคำนวณได้จากปริมาณน้ำมันที่จำเลยไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ได้ครบจำนวนที่สั่งซื้อ ซึ่งคำนวณแล้วเป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตามมาตรา9(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย และโจทก์ไม่จำเป็นต้องสืบพยานให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่
เมื่อผู้จัดการบริษัทจำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ทั้งสองฉบับจากโจทก์แล้ว แม้หนังสือนั้นได้ส่งไปยังที่อยู่ของผู้จัดการบริษัทจำเลยซึ่งไม่ใช่ภูมิลำเนาอันเป็นที่ตั้งของบริษัทจำเลยก็ตาม ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามดังกล่าวโดยชอบแล้ว และหนังสือทั้งสองฉบับนี้ได้ส่งในระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยไม่ชำระหนี้ตามหนังสือทวงถาม กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8(9) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
การที่ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยปิดไว้ ณสำนักงานบริษัทจำเลยตามที่จดทะเบียนไว้นั้น เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว
หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นค่าปรับซึ่งสามารถคำนวณได้จากปริมาณน้ำมันที่จำเลยไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ได้ครบจำนวนที่สั่งซื้อ ซึ่งคำนวณแล้วเป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตามมาตรา9(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย และโจทก์ไม่จำเป็นต้องสืบพยานให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่
เมื่อผู้จัดการบริษัทจำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ทั้งสองฉบับจากโจทก์แล้ว แม้หนังสือนั้นได้ส่งไปยังที่อยู่ของผู้จัดการบริษัทจำเลยซึ่งไม่ใช่ภูมิลำเนาอันเป็นที่ตั้งของบริษัทจำเลยก็ตาม ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามดังกล่าวโดยชอบแล้ว และหนังสือทั้งสองฉบับนี้ได้ส่งในระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยไม่ชำระหนี้ตามหนังสือทวงถาม กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8(9) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
การที่ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยปิดไว้ ณสำนักงานบริษัทจำเลยตามที่จดทะเบียนไว้นั้น เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2474/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขุดดินใกล้ที่ดิน neighbor ทำให้ดินถล่ม จำเลยต้องรับผิดชอบป้องกันความเสียหาย แม้มีฝนตกหนักก็อ้างเหตุสุดวิสัยไม่ได้
การที่จำเลยขุดดินห่างจากแนวเขตที่ดินของโจทก์เพียง 1 เมตรลึกเกินสมควรจนเต็มเนื้อที่ เป็นเหตุให้ที่ดินโจทก์พังทลาย เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1343 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยจึงต้องรับผิดจัดการป้องกันความเสียหายเพื่อไม่ให้ที่ดินของโจทก์พังทลายต่อไป
จำเลยอ้างว่ามีฝนตกหนักและน้ำท่วมมากเป็นเหตุให้แนวเขตที่ดินพัง อันเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะป้องกันได้ แต่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีก่อน จ.ผู้เช่าที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่งฟ้อง พ. กับจำเลยที่ 1 คดีนี้ขอให้ใช้ค่าเสียหายที่ขุดดินทำให้บ่อปลาของ จ.เสียหาย แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้จัดการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินของโจทก์คนละแปลงกับที่ดินที่ให้ จ.เช่าเป็นคนละกรณีกัน ทั้งโจทก์ก็มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนร่วมกับ จ.ด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจัดการป้องกันความเสียหายอันเกิดแก่ความอยู่มั่นแห่งที่ดินของโจทก์ ที่ติดต่อกับที่ดินที่จำเลยขุด มิใช่เรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดโดยตรง. จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
จำเลยอ้างว่ามีฝนตกหนักและน้ำท่วมมากเป็นเหตุให้แนวเขตที่ดินพัง อันเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะป้องกันได้ แต่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีก่อน จ.ผู้เช่าที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่งฟ้อง พ. กับจำเลยที่ 1 คดีนี้ขอให้ใช้ค่าเสียหายที่ขุดดินทำให้บ่อปลาของ จ.เสียหาย แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้จัดการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินของโจทก์คนละแปลงกับที่ดินที่ให้ จ.เช่าเป็นคนละกรณีกัน ทั้งโจทก์ก็มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนร่วมกับ จ.ด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจัดการป้องกันความเสียหายอันเกิดแก่ความอยู่มั่นแห่งที่ดินของโจทก์ ที่ติดต่อกับที่ดินที่จำเลยขุด มิใช่เรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดโดยตรง. จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448