พบผลลัพธ์ทั้งหมด 556 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1278/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย เพื่อให้มีผลสมบูรณ์ แม้มีการทำสัญญาให้แล้ว
จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่ถูกยึดและได้ทำ สัญญายกให้แก่ผู้ร้องแต่การยกให้ซึ่งที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525ประกอบกับมาตรา 456 จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อปรากฏว่ายังไม่ได้มีการจดทะเบียนการยกให้ ที่ดินพิพาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลให้สั่งปล่อยที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1155/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขาย: การชำระหนี้ต้องเป็นไปตามหลักสัญญาต่างตอบแทน หากฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายก็ไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อขายให้โจทก์โดยไม่บังคับให้โจทก์ชำระค่าที่พิพาทที่ค้างชำระ ให้แก่จำเลย ย่อมไม่ชอบด้วยการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 ปัญหาที่ว่า ศาลชั้นต้น พิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยมีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่ค้างชำระ แก่จำเลยจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดมาตรา 137 ต้องมีผู้เสียหายจากการแจ้งเท็จ และโจทก์ในฐานะผู้เช่าไม่ได้รับความเสียหายจากการโอนกรรมสิทธิ์
กรณีจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 นั้นนอกจากจะแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานแล้วข้อความที่แจ้งต้องอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายด้วยเมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์อาจได้รับความเสียหายอย่างไรแม้จะพิจารณาฟ้องโจทก์ทั้งเรื่องก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าโจทก์อาจได้รับความเสียหายอย่างไรจากการกระทำของจำเลยในข้อที่โจทก์เป็นผู้เช่าตึกแถวเมื่อมีการโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือแม้แต่จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในตึกแถวที่เช่าด้วยสิทธิของโจทก์ย่อมไม่กระทบกระเทือนโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ต้องมีข้อความสำคัญตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 นั้นหมายถึงคดีที่ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากคำคู่ความหรือพยานหลักฐานแล้วเท่านั้นคดีที่ศาลชั้นต้นพิจารณาฟ้องโจทก์แล้วมีคำสั่งให้ยกฟ้องไม่จำต้องมีรายการครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ต้องมีข้อความสำคัญตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 นั้นหมายถึงคดีที่ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากคำคู่ความหรือพยานหลักฐานแล้วเท่านั้นคดีที่ศาลชั้นต้นพิจารณาฟ้องโจทก์แล้วมีคำสั่งให้ยกฟ้องไม่จำต้องมีรายการครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3812/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งทรัพย์สินหลังหย่า: ข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินที่จดทะเบียนมีผลผูกพัน แม้ยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์
การแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยาตามที่มีอยู่ในเวลาจดทะเบียนหย่าย่อมมีผลบังคับผูกพัน ภริยาจะโต้แย้งในภายหลังว่าการแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่สามียังมิได้จดทะเบียนโอน ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของภริยาร่วมกับสามีอยู่หาได้ไม่
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1406/2517)
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1406/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3807/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์: กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโอนให้ผู้ร้องตามสัญญาก่อนการยึด
การร้องขัดทรัพย์เป็นการกล่าวอ้างว่าทรัพย์สินที่ยึดมิใช่ของจำเลยแต่เป็นของผู้ร้อง ในคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องก็ได้กล่าวไว้ชัดแล้วว่าบรรดาทรัพย์สินสิ่งก่อสร้างสัมภาระและอุปกรณ์ที่โจทก์นำยึดมิใช่กรรมสิทธิ์ของจำเลย แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ส่วนข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์เหล่านั้นตกเป็นของผู้ร้องตามสัญญาจ้างทำของเป็นรายละเอียด หาจำต้องกล่าวมาในคำร้องขัดทรัพย์ไม่
ตามสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างระหว่างผู้ร้องกับจำเลยระบุให้ผู้ร้องมีสิทธิเลิกสัญญาในกรณีที่มีเหตุให้ผู้ร้องเห็นว่าจำเลยไม่สามารถจะทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา และจำเลยยอมให้สิ่งก่อสร้าง สัมภาระและอุปกรณ์ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา จนผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญาและแต่งตั้งคณะกรรมการทำการริบสิ่งก่อสร้าง สัมภาระและอุปกรณ์ลงบัญชีเป็นของผู้ร้องไปแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวจึงตกเป็นของผู้ร้องก่อนที่โจทก์จะไปทำการยึดโดยไม่ต้องมีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องอีก
ตามสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างระหว่างผู้ร้องกับจำเลยระบุให้ผู้ร้องมีสิทธิเลิกสัญญาในกรณีที่มีเหตุให้ผู้ร้องเห็นว่าจำเลยไม่สามารถจะทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา และจำเลยยอมให้สิ่งก่อสร้าง สัมภาระและอุปกรณ์ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา จนผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญาและแต่งตั้งคณะกรรมการทำการริบสิ่งก่อสร้าง สัมภาระและอุปกรณ์ลงบัญชีเป็นของผู้ร้องไปแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวจึงตกเป็นของผู้ร้องก่อนที่โจทก์จะไปทำการยึดโดยไม่ต้องมีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3443/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้และการสะดุดหยุดอายุความจากการยื่นคำขอรังวัดที่ดินเพื่อโอนกรรมสิทธิ์
จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์เมื่อ พ.ศ.2512 โจทก์ชำระราคาแล้วบางส่วน วันที่ 7 เมษายน 2518 โจทก์จำเลยไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินด้วยกัน การที่จำเลยยื่นคำขอดังกล่าวก็เพื่อจะดำเนินการโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญา ถือได้ว่าจำเลยทำการอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่า จำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีอยู่ต่อจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว จึงเป็นการรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 ซึ่งมีผลให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2518 ถึงวันที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ยังไม่เกิน 10 ปี คดียังไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์สังหาริมทรัพย์: การโอนกรรมสิทธิ์โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แม้ยังมิได้จดทะเบียน
โจทก์ติดต่อซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ได้จัดการนำรถยนต์คันพิพาทออกมาจากบริษัท จ. ซึ่งเป็นบริษัทขายรถยนต์และเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทมาขายให้โจทก์ โจทก์รับมอบรถยนต์ไว้ในครอบครองและชำระราคาให้แก่จำเลยที่ 2 โดยบริษัท จ.ยินยอมและไม่โต้แย้งคัดค้าน แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ ก็ต้องถือว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต
โจทก์ได้ซื้อรถยนต์คันพิพาทโดยได้ชำระราคาและรับมอบการครอบครองโดยสุจริตแล้ว ต่อมาได้มีการจดทะเบียนโอนรถยนต์คันพิพาทให้เป็นชื่อของจำเลยที่ 3 โจทก์และจำเลยที่3 ต่างอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาท กรณีจึงเป็นเรื่องบุคคลหลายคนต่างเรียกเอาสังหาริมทรัพย์เดียวกันโดยอาศัยหลักกรรมสิทธิ์ต่างกัน ต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1303 โจทก์ย่อมมีสิทธิ
โจทก์ได้ซื้อรถยนต์คันพิพาทโดยได้ชำระราคาและรับมอบการครอบครองโดยสุจริตแล้ว ต่อมาได้มีการจดทะเบียนโอนรถยนต์คันพิพาทให้เป็นชื่อของจำเลยที่ 3 โจทก์และจำเลยที่3 ต่างอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาท กรณีจึงเป็นเรื่องบุคคลหลายคนต่างเรียกเอาสังหาริมทรัพย์เดียวกันโดยอาศัยหลักกรรมสิทธิ์ต่างกัน ต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1303 โจทก์ย่อมมีสิทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2785/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่ซับซ้อน: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันคืนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้ร้องสอด ขอให้จำเลยทั้งสามคืนให้แก่ผู้ร้องสอด ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 คืนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2ผู้ร้องสอดอุทธรณ์ว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามคืนหรือใช้ราคารถยนต์พิพาทให้แก่ผู้ร้องสอด ดังนี้ คดีระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลยที่ 1ที่ 2 จึงยังไม่ยุติ
ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า ไม่เห็นด้วยกับที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันคืนรถยนต์พิพาทให้แก่ผู้ร้องสอด เพราะเมื่อจำเลยคืนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วจำเลยก็ไม่มีรถที่จะคืนให้ผู้ร้องสอดได้อีก ผู้ร้องสอด ชอบที่จะไปบังคับเอารถยนต์พิพาทคืนจากโจทก์ที่ 2 นั้นมิใช่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า ไม่เห็นด้วยกับที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันคืนรถยนต์พิพาทให้แก่ผู้ร้องสอด เพราะเมื่อจำเลยคืนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วจำเลยก็ไม่มีรถที่จะคืนให้ผู้ร้องสอดได้อีก ผู้ร้องสอด ชอบที่จะไปบังคับเอารถยนต์พิพาทคืนจากโจทก์ที่ 2 นั้นมิใช่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2045/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์และการฟ้องขับไล่: ฟ้องซ้ำหรือไม่ และผลผูกพันคำพิพากษาเดิมต่อคู่ความเดิม
โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพากษาจาก ป. เจ้าของเดิม จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาโดยไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะอ้างได้ จึงเป็นการอยู่โดยละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ส่วนค่าเสียหายที่ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้แก่ ป. โจทก์ในคดีเดิมย่อมสิ้นสุดลงในวันที่ ป. จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ ค่าเสียหายของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นค่าเสียหายที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่หาใช่ ค่าเสียหายตามคำพิพากษาในคดีเดิมไม่ จึงเป็นข้อพิพาทคนละประเด็นกับค่าเสียหายของโจทก์ในคดีเดิม ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
แม้โจทก์คดีนี้เป็นคนละคนกับโจทก์ในคดีเดิม แต่โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทสืบต่อมาจากโจทก์ในคดีเดิม และจำเลยเป็นคู่ความคนเดียวกับจำเลยในคดีเดิม คำพิพากษาในคดีเดิมที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงมีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้ด้วย
แม้โจทก์คดีนี้เป็นคนละคนกับโจทก์ในคดีเดิม แต่โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทสืบต่อมาจากโจทก์ในคดีเดิม และจำเลยเป็นคู่ความคนเดียวกับจำเลยในคดีเดิม คำพิพากษาในคดีเดิมที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงมีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1681/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้มูลนิธิ: การแสดงเจตนาและผลทางกฎหมายเมื่อมีผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้ก่อน
ที่พิพาทเป็นที่ดินซึ่งผู้มีจิตศรัทธาหลายรายได้บริจาคเงินซื้อเพื่อจะยกให้แก่มูลนิธิที่จะตั้งขึ้นในที่พิพาท จึงได้ใส่ชื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ปกครองศาลเจ้าให้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้ก่อน เมื่อจำเลยเอาที่พิพาทไปจำนองและขายให้แก่บุคคลอื่นก็มีผู้ช่วยกันออกเงินไถ่จำนองและซื้อกลับคืนมา แล้วใส่ชื่อจำเลยและบุคคลอื่นๆ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมไว้ในโฉนด เพื่อป้องกันมิให้จำเลยนำไปจำนองหรือขายให้แก่ผู้อื่นอีก และได้ทำหนังสือกันไว้ว่ายินยอมโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่มูลนิธิดังกล่าวแล้วฉะนั้น การที่จำเลยและบุคคลอื่นๆ เป็นเจ้าของที่พิพาทก็เป็นการถือกรรมสิทธิ์ไว้เพื่อมูลนิธิโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์ได้รับอำนาจเป็นมูลนิธิแล้ว ที่พิพาทดังกล่าวก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตั้งแต่ได้รับอำนาจเป็นมูลนิธิเป็นต้นไป กรณีจึงหาได้เป็นการให้ที่ตกอยู่ในบังคับจะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ไม่ เมื่อปรากฏว่ามูลนิธิโจทก์ได้แสดงเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาดังกล่าวแล้วจำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามฟ้อง