คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6739/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาเฉพาะส่วนต่างของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และขอบเขตการโต้เถียงข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 200,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เต็มตามฟ้อง จำเลยมิได้อุทธรณ์เท่ากับจำเลยเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงิน 285,321 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จำเลยคงมีสิทธิฎีกาเฉพาะในส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์เพิ่มขึ้นเท่านั้น ดังนี้ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของจำเลยมีเพียง 85,321 บาท การที่จำเลยฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6405/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: เพิกถอนใบจองทับที่ดินเดิม, การพิสูจน์สิทธิ, ข้อจำกัดการฎีกา
คดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์เป็นผู้เสียหายกล่าวหาว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงในบันทึกถ้อยคำ แล้วนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินเพื่อดำเนินการออกใบจองให้จำเลย อันเป็นการปลอมและใช้เอกสารปลอม ส่วนคดีนี้โจทก์ขอให้เพิกถอนใบจองที่ออกทับที่ดินของโจทก์ สิทธิการฟ้องคดีนี้จึงไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม กรณีจึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46
จำเลยให้การเพียงว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยได้ครอบครองต่อจากบิดาจึงไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง และปัญหาดังกล่าวนี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยเพิ่งยกขึ้นมาในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6201/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องอุทธรณ์และการดำเนินการทางกฎหมายหลังศาลอุทธรณ์จำหน่ายคดี การยื่นคำร้องแทนฎีกาไม่ชอบ
หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยยื่นอุทธรณ์ ในระหว่างส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ จำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์ จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ คดีเสร็จการพิจารณาจากศาลอุทธรณ์แล้ว จึงไม่มีคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ที่จะให้จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งได้ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีเสร็จสิ้นการพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แล้ว หากจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปก็มีสิทธิยื่นฎีกาได้ตามกฎหมายและให้ยกคำร้องของจำเลยจึงชอบแล้ว
ป.วิ.พ. มาตรา 18 ให้อำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะตรวจคำคู่ความและมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความนั้นได้ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจที่จะมีคำสั่งคำร้องของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ โดยไม่จำต้องได้รับมอบหมายจากศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้แล้ว คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เมื่อจำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจสั่งเองได้ ต้องส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องที่จำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์ต่อไป ซึ่งแตกต่างกับกรณีที่จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลอุทธรณ์หลังจากที่ศาลอุทธรณ์จำหน่ายคดีไปแล้ว ไม่เป็นกรณีที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจึงไม่จำต้องส่งคำร้องดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์สั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ หากจำเลยไม่เห็นพ้องด้วย จำเลยมีสิทธิยื่นเป็นคำฟ้องฎีกาภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 แต่จำเลยหาได้ยื่นฎีกาไม่ กลับโต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลอุทธรณ์โดยการยื่นคำร้องแทน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5985/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลอุทธรณ์ให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่เป็นคำพิพากษา ทำให้ฎีกาของจำเลยชอบแล้ว เหตุขัดข้องในการเดินทางไม่ใช่เหตุยกคดี
หลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว โจทก์ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดขัอง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 166 ประกอบมาตรา 181 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ดังนี้ คำสั่งให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ซึ่งอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งที่ทำให้คดีเสร็จไปจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196 ประกอบมาตรา 225 จำเลยจึงฎีกาคำสั่งดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5957/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง, ภาระการพิสูจน์สัญญาเช่า, สิทธิการครอบครองที่ดิน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทอ้างว่าให้เช่าได้เดือนละ 20,000 บาท ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ 10,000 บาท โจทก์ไม่ฎีกา ถือว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องว่าให้จำเลยอาศัยทำประโยชน์ในที่พิพาท จำเลยให้การยอมรับว่าเข้าทำประโยชน์ไม่ใช่ในฐานะผู้อาศัย แต่ในฐานะผู้เช่าตามสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดาที่ตกลงให้จำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างที่พักอาศัยและอาคารเก็บสินค้าด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยแล้วให้จำเลยทำสัญญาเช่าครั้งละ 3 ปี จนครบกำหนด 15 ปี เป็นการที่จำเลยยกข้อเท็จจริงขึ้นต่อสู้ใหม่ ภาระการพิสูจน์ที่จะนำสืบให้เห็นว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าที่พิพาทกับจำเลยจริง จึงตกแก่จำเลย เมื่อจำเลยนำสืบไม่ได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5887/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ลงลายมือชื่อในฎีกาทำให้ฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฎีกาของจำเลยไม่มีลายมือชื่อผู้ฎีกา โดยเหตุที่ฎีกาเป็นคำฟ้องอย่างหนึ่งตามคำนิยามในมาตรา 1 (3) แห่ง ป.วิ.พ. ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ดังนั้น เมื่อไม่มีลายมือชื่อผู้ฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 158 (7) ประกอบด้วยมาตรา 215 และ 225 แห่ง ป.วิ.อ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5850/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลาฎีกาและการโต้แย้งเรื่องการยื่นฎีกาพ้นกำหนด ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ให้คู่ความฟังวันที่ 26 เมษายน 2549 คู่ความมีสิทธิฎีกาได้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาซึ่งจะครบกำหนดฎีกาภายในวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 30 วัน นับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2549 ศาลอนุญาตตามคำร้อง ระยะเวลาที่ขอขยายเริ่มนับในวันรุ่งขึ้นจึงครบกำหนด 30 วัน ในวันที่ 23 มิถุนายน 2549
เมื่อจำเลยเห็นว่าโจทก์ยื่นฎีกาพ้นกำหนดเวลาตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว จำเลยชอบที่จะโต้แย้งเป็นประเด็นมาในคำแก้ฎีกา ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกประเด็นว่าโจทก์ยื่นฎีกาพ้นกำหนดเวลาหรือไม่มาวินิจฉัยได้ หาจำต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับฎีกาแยกต่างหากมาด้วยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5649/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในการอนุญาตแถลงการณ์ด้วยปาก
การขอแถลงการณ์ด้วยปาก คู่ความอาจขอมาในคำฟ้องอุทธรณ์โดยไม่จำต้องทำเป็นคำร้องติดมากับฟ้องอุทธรณ์ ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นสมควรอนุญาตให้คู่ความแถลงการณ์ด้วยปากก็ให้พิจารณาคดีโดยเปิดเผยต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่าย การอนุญาตให้คู่ความแถลงการณ์ด้วยปากหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์โดยเฉพาะ คู่ความไม่มีสิทธิยกขึ้นฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5534/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการโต้แย้งราคาขายทอดตลาด: ผู้เข้าสู้ราคาไม่มีสิทธิฎีกาในประเด็นราคา
ข้อโต้แย้งที่ว่าราคาทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดต่ำหรือไม่ เป็นข้อโต้แย้งหรือส่วนได้เสียของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลตามที่ระบุไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 280 โดยตรง ไม่เกี่ยวกับผู้ร้องซึ่งเป็นเพียงผู้เข้าสู้ราคาแต่อย่างใด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิกล่าวอ้างหรือฎีกาในประเด็นดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ การบุกรุกและทำร้ายร่างกาย ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ว่า บาดแผลที่ผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ได้รับจากการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย และจำเลยทั้งสี่ได้กระทำความผิดฐานบุกรุกเพราะประสงค์จะเจรจากับผู้เสียหายที่ 2 ที่ทำร้ายร่างกายบุตรหลานของจำเลยทั้งสี่ถือว่ามีเหตุอันควรอันเป็นการฎีกาว่าไม่ได้กระทำความผิดตามคำฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การรับสารภาพแล้ว ข้อเท็จจริงจึงรับฟ้องได้ดังฟ้องโจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
of 303