คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กรรมต่างกัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 90 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2297/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำหลอกลวงเพื่อค้าประเวณีถือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
การที่จำเลยมีเจตนาหลอกลวงผู้เสียหายแต่ละบุคคลไปทำงานค้าประเวณี เป็นเจตนาที่กระทำต่อแต่ละบุคคลไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายยาเสพติดเป็นกรรมต่างกัน แม้เหตุการณ์ต่อเนื่อง
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 4 ให้นิยามคำว่า "ขาย" หมายความรวมถึงจำหน่าย และมีไว้เพื่อขายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายจำนวนหนึ่ง และขายไปจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นเมทแอมเฟตามีนจำนวนเดียวกันตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันและเป็นความผิดกรรมเดียว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มิใช่ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518และนิยามคำว่า "ขาย" ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ไม่อาจนำมาใช้กับพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้โดยมีนิยามคำว่า "จำหน่าย" ไว้โดยเฉพาะในมาตรา 4 แล้วว่า ขาย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ให้ มิได้มีความหมายรวมถึงการมีไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย ทั้งความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 66 เป็นความผิดที่แยกเจตนาจากกันได้การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย17 เม็ด เป็นความผิดกรรมหนึ่ง เมื่อจำหน่ายไป 2 เม็ดย่อมมีความผิดฐานจำหน่ายอีกกรรมหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4123/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม เป็นกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 264, 268,335, 91 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาธนาณัติรวม 3 ฉบับ มูลค่า 7,640 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องของโจทก์จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า จำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อีกด้วย
ฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยป.วิ.อ.มาตรา 15 แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
แม้ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ธนาณัติของโจทก์ร่วมและฐานปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมลงในช่องผู้มอบฉันทะให้รับเงินจากที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขแทนโจทก์ร่วมจะบรรยายให้เห็นถึงการกระทำของจำเลยแยกเป็นข้อ ๆ ก็ตาม แต่จากพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยในส่วนการลักธนาณัติของโจทก์ร่วมไปแล้วปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในช่องผู้มอบฉันทะให้รับเงินแทนและนำธนาณัติไปใช้ยื่นต่อพนักงานของที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขเพื่อให้จ่ายเงินตามธนาณัติ เป็นการที่จำเลยได้กระทำการทั้งหลายอย่างต่อเนื่องกัน โดยจำเลยมีเจตนาอย่างเดียวคือให้พนักงานของที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขหลงเชื่อว่าเอกสารต่าง ๆ ที่จำเลยได้ทำปลอมขึ้นเป็นเอกสารที่แท้จริงเพื่อจะได้จ่ายเงินตามจำนวนในธนาณัติให้แก่จำเลยเท่านั้น การกระทำของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดฐานลักทรัพย์ธนาณัติของโจทก์ร่วมกับฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมโดยจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารเองซึ่งต้องลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมแต่กระทงเดียว เป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างตาม ป.อ.มาตรา 335 (11) วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ.มาตรา 90
แม้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ก็เป็นการรับสารภาพว่าได้กระทำการต่าง ๆ ดังที่โจทก์ฟ้อง ส่วนจำเลยจะมีความผิดตามบทกฎหมายใดหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลจะพิจารณาวินิจฉัย
จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเกี่ยวกับธนาณัติของโจทก์ร่วมรวม 3 ฉบับ ซึ่งแต่ละฉบับจำเลยได้กระทำการต่าง ๆ ต่างวันเวลากันและเป็นความผิดสำเร็จแต่ละฉบับต่างวันเวลากันการกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นความผิด 3 กรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ.มาตรา 91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท vs. กรรมต่างกัน: ยาสูบลักลอบนำเข้าและจำหน่าย
การที่จำเลยมียาสูบของกลางที่ผลิตในต่างประเทศ โดยมีผู้ลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรขาเข้าไว้ในความครอบครองและยาสูบมิได้ปิดแสตมป์ยาสูบตามกฎหมาย กับการที่จำเลยมียาสูบจำนวนเดียวกันนั้นไว้เพื่อขายนั้นแม้การกระทำนั้นจะผิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายหลายฉบับ แต่ก็เป็นการกระทำที่มุ่งประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกัน คือการหลีกเลี่ยงที่จะไม่ต้องเสียภาษีอากรตามกฎหมายถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
แต่การที่จำเลยได้ขายยาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยาสูบที่จำเลยมีไว้เพื่อขายนั้น การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานขายซึ่งยาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบ อันเป็นการกระทำที่แยกต่างหากจากการมีไว้เพื่อขาย และเป็นคนละกรรมกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์และมีอาวุธปืนเถื่อน การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านพักอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหาย แล้วจำเลยลักอาวุธปืนพกของสามีผู้เสียหายไปโดยทุจริตและจำเลยพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควรและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องโจทก์ จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่าจำเลยถือวิสาสะเข้าไปในบ้านพักของผู้เสียหายเพื่อนำอาวุธปืนไปใช้เพราะเคยปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนและจำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปในทุ่งนา มิใช่หมู่บ้านหรือทางสาธารณะหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ซึ่งมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อีกด้วย
ความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิเกิดจากผู้กระทำผิดมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ ลักษณะของการกระทำความผิดจึงอยู่ที่การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดในเรื่องการขออนุญาตมีและพาอาวุธปืนเป็นสำคัญ เมื่อผู้ใดฝ่าฝืน ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดและต้องรับโทษเป็นการเฉพาะตัว เจตนาของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จึงเป็นคนละส่วน สามารถแยกออกจากเจตนากระทำความผิดฐานลักอาวุธปืนได้ชัดเจนแม้จะมีการกระทำเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ก็ถือว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ.มาตรา 91 ต้องเรียงกระทงลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ และความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย และไม่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นคนละกรรมกัน
เมื่อจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย และรับอันตรายสาหัส เป็นการกระทำความผิดสำเร็จไปกรรมหนึ่งแล้ว และหลังเกิดเหตุชนกันแล้ว จำเลยไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือและ ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที เป็นความผิดสำเร็จไปอีกกรรมหนึ่ง แม้จะเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน แต่ก็สามารถแยกการกระทำออกจากกันได้อย่างชัดเจน จึงเป็น การกระทำหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7953/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิดในอายุผู้เสียหาย และความผิดฐานพรากเด็ก-กระทำชำเรา เป็นกรรมต่างกัน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก และมาตรา 317 ผู้กระทำผิดจะต้องกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี เรื่องอายุของผู้เสียหายเป็นองค์ประกอบของความผิดด้วย จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้กระทำผิดได้รู้หรือไม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรคแรก ซึ่งข้อเท็จจริงใดถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิดดังนี้ถ้าจำเลยสำคัญผิดในเรื่องอายุของผู้เสียหาย แม้ความจริงไม่ใช่อย่างที่จำเลยสำคัญผิด จำเลยย่อมไม่มีความผิด
ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ชอบ แต่เพื่อไม่ให้คดีล่าช้าศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาก่อน
ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 เมื่อจำเลยมีเจตนาและได้พรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กไปเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่า ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาไปเพื่อการอนาจารสำเร็จนับแต่จำเลยเริ่มพรากผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาดังกล่าวแล้ว แม้จำเลยจะยังไม่ได้กระทำการกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม ส่วนการที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายหลังจากนั้นก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 อีกกรรมหนึ่ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเป็น 2 กระทง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5627/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นกรรมต่างกัน แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายและใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83,80 พอถือได้ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกัน ฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาฟังได้ตามฟ้องการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน หาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวไม่ แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์และฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทลงโทษเสียให้ถูกต้องแต่ไม่แก้โทษที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8297/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดซื้อของหลีกเลี่ยงอากร, ทำไม้หวงห้าม, และแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ความผิดฐานซื้อหรือรับไว้ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้ามหรือข้อจำกัด ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 ความผิดฐานทำไม้หวงห้ามโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ มีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม้ดังกล่าวไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตราของรัฐบาลและโดยพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้ดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมาย แปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองจำนวนเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯนั้น ความผิดแต่ละกรรมเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเรา: พยานหลักฐานมั่นคง, การกระทำเป็นกรรมต่างกัน, ศาลปรับบทลงโทษ
จำเลยกับพวกเดินทางกลับจากดูภาพยนตร์กลางแปลงพร้อมกับผู้เสียหายโดยทำทีจะพาผู้เสียหายไปส่งบ้านแต่กลับพาไปผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายเบิกความตอบถามค้านรับว่าคืนเกิดเหตุเดือนมืดผู้เสียหายไม่ทราบว่าใครเป็นคนข่มขืนกระทำชำเราก่อนหลังใครเป็นคนจับแขนจับขาและถอดกางเกงของผู้เสียหายนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่หาใช่ข้อสาระสำคัญถึงกับจะทำให้คำเบิกความทั้งหมดของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อยลงและไม่น่าเชื่อถือแต่ประการใดเพราะเป็นเพียงรายละเอียดข้อสำคัญอยู่ที่ว่าผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นและร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยและที่แพทย์ตรวจไม่พบเชื้ออสุจิในช่องคลอดของผู้เสียหายนั้นก็เป็นเรื่องปกติไม่มีข้อชวนสงสัยแต่อย่างใดเพราะแพทย์ทำการตรวจพิสูจน์ร่างกายผู้เสียหายหลังเกิดเหตุแล้วถึง8วันส่วนที่จำเลยฎีกาว่าผู้ใหญ่ฝ่ายจำเลยไปสู่ขอผู้เสียหายให้แก่จำเลยแสดงว่าจำเลยไม่ได้ร่วมกระทำผิดนั้นนอกจากไม่เป็นข้อสนับสนุนให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของจำเลยแล้วกลับชี้ให้เห็นว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่จำเลยหวังจะทำให้ผลของการกระทำความผิดของตนถูกกลบเกลื่อนลบล้างไปและการที่โจทก์ไม่ส่งคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเป็นพยานนั้นก็เป็นสิทธิของโจทก์หากจำเลยเห็นว่าผู้เสียหายเบิกความไม่ตรงกับที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวนก็มีสิทธิที่จะขอให้ศาลเรียกสำนวนการสอบสวนมาประกอบคดีได้ถ้อยคำที่ผู้เสียหายเบิกความต่อศาลย่อมมีน้ำหนักให้น่าเชื่อกว่าที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวนการที่โจทก์ไม่ส่งคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเป็นพยานจึงไม่ทำให้น้ำหนักคำพยานปากผู้เสียหายเสียไปพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงพอฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดด้วย การกระทำความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารกับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดต่างกรรมกันแต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา276วรรคสองซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดและโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา284วรรคแรกอีกกระทงหนึ่งได้เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา212ประกอบมาตรา225
of 9