พบผลลัพธ์ทั้งหมด 133 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2994/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาตามยอมต้องทำหลังศาลรับฟ้องคดี การบังคับคดีตามคำพิพากษาที่ไม่ชอบ
การประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลจะพิพากษาตามยอมได้ ศาลจะต้องมีคำสั่งรับฟ้องคดีนั้นแล้ว
โจทก์ฟ้องพร้อมยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ไต่สวนคำร้อง ส่วนคำฟ้องรอไว้สั่งเมื่อไต่สวนคำร้องขออนาถาเสร็จแล้วระหว่างไต่สวน โจทก์จำเลยทั้งหกตกลงกันได้และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมโดยศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งให้รับฟ้องโจทก์ก่อน จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ตามที่ ป.วิ.พ.มาตรา 27 บัญญัติไว้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงไม่ชอบ คำบังคับและหมายบังคับคดีที่ออกตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามไปด้วย เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่มีอำนาจยึดทรัพย์สินของจำเลย ศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องเสียก่อน ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243 (1)ประกอบด้วย มาตรา 247 และให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดของจำเลย
โจทก์ฟ้องพร้อมยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ไต่สวนคำร้อง ส่วนคำฟ้องรอไว้สั่งเมื่อไต่สวนคำร้องขออนาถาเสร็จแล้วระหว่างไต่สวน โจทก์จำเลยทั้งหกตกลงกันได้และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมโดยศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งให้รับฟ้องโจทก์ก่อน จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ตามที่ ป.วิ.พ.มาตรา 27 บัญญัติไว้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงไม่ชอบ คำบังคับและหมายบังคับคดีที่ออกตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามไปด้วย เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่มีอำนาจยึดทรัพย์สินของจำเลย ศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องเสียก่อน ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243 (1)ประกอบด้วย มาตรา 247 และให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403-2430/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าชดเชย-การแก้ไขคำฟ้อง: กำหนดระยะเวลาของงาน, การปฏิเสธข้อกล่าวหา, กระบวนการยุติธรรม
ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้าง แต่ในวรรคสามบัญญัติว่า "ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น" และวรรคสี่บัญญัติว่า "การจ้างที่มีกำหนดเวลาตามวรรคสามจะกระทำได้สำหรับการจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้าง ซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน หรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุด หรือความสำเร็จของงาน หรือในงานที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น ซึ่งงานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกินสองปี โดยนายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง" จะเห็นได้ว่า ในวรรคสามกำหนดเรื่องระยะเวลาการจ้างซึ่งต้องกำหนดไว้แน่นอน ส่วนวรรคสี่เป็นเรื่องกำหนดประเภทของงานที่สามารถจะทำสัญญาจ้างให้มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนได้ ซึ่งมีอยู่ 3 ประเภท โดยในตอนท้ายของวรรคสี่ที่กำหนดประเภทของงานนั้นได้กำหนดไว้ด้วยว่างานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี คำว่า งานนั้น ย่อมหมายถึงงานทั้งสามประเภทที่กำหนดไว้นั่นเองจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี กำหนดระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี ดังกล่าวจึงหาได้หมายถึงระยะเวลาการจ้างที่นายจ้างทำสัญญาจ้างลูกจ้างไม่
การขอแก้ไขคำฟ้องนั้นไม่อาจกระทำได้แต่ฝ่ายเดียวศาลแรงงานกลางต้องส่งสำเนาคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ให้จำเลยทั้งสี่ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน และให้จำเลยทั้งสี่มีโอกาสคัดค้านเสียก่อนที่จะพิจารณาสั่งอนุญาต และเมื่ออนุญาตให้โจทก์ที่ 1 แก้ไขคำฟ้องได้แล้วก็จะต้องให้จำเลยทั้งสี่มีโอกาสบริบูรณ์ในอันที่จะตรวจโต้แย้งและหักล้างข้ออ้างที่โจทก์ที่ 1 กล่าวไว้ในคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเสียก่อน จึงจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดในประเด็นที่โจทก์ที่ 1 ได้แก้ไขคำฟ้องได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 21, 181 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 การที่ศาลแรงงานกลางนำข้ออ้างตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 มาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 อ้างว่าได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 117,150 บาท จำเลยทั้งสี่ไม่ให้การปฏิเสธ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่ยอมรับ แล้วคำนวณค่าชดเชยจากค่าจ้างสุดท้ายตามอัตราดังดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ
การขอแก้ไขคำฟ้องนั้นไม่อาจกระทำได้แต่ฝ่ายเดียวศาลแรงงานกลางต้องส่งสำเนาคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ให้จำเลยทั้งสี่ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน และให้จำเลยทั้งสี่มีโอกาสคัดค้านเสียก่อนที่จะพิจารณาสั่งอนุญาต และเมื่ออนุญาตให้โจทก์ที่ 1 แก้ไขคำฟ้องได้แล้วก็จะต้องให้จำเลยทั้งสี่มีโอกาสบริบูรณ์ในอันที่จะตรวจโต้แย้งและหักล้างข้ออ้างที่โจทก์ที่ 1 กล่าวไว้ในคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเสียก่อน จึงจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดในประเด็นที่โจทก์ที่ 1 ได้แก้ไขคำฟ้องได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 21, 181 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 การที่ศาลแรงงานกลางนำข้ออ้างตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 มาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 อ้างว่าได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 117,150 บาท จำเลยทั้งสี่ไม่ให้การปฏิเสธ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่ยอมรับ แล้วคำนวณค่าชดเชยจากค่าจ้างสุดท้ายตามอัตราดังดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7561/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาต้องเปิดเผยต่อจำเลย หากจำเลยหลบหนี ศาลไม่อาจดำเนินกระบวนการลับหลังได้
ในคดีอาญา การพิจารณาและสืบพยานไม่ว่าในชั้นสืบพยานโจทก์หรือพยานจำเลยจะต้องทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่ศาลจะอนุญาตให้จำเลยไม่มาฟังการพิจารณาและการสืบพยานนั้นได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 172 ทวิ
เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ถือว่าจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี และให้ออกหมายจับจำเลยแล้วศาลชั้นต้นก็ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดลับหลังจำเลยได้อีกต่อไปการที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยให้ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานและเป็นอันหมดพยานจำเลย คดีเสร็จการพิจารณาและนัดฟังคำพิพากษา กับได้มีคำพิพากษาคดีไป จึงเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 172 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 ประกอบมาตรา225 ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนการสืบพยานจำเลยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ถือว่าจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี และให้ออกหมายจับจำเลยแล้วศาลชั้นต้นก็ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดลับหลังจำเลยได้อีกต่อไปการที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยให้ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานและเป็นอันหมดพยานจำเลย คดีเสร็จการพิจารณาและนัดฟังคำพิพากษา กับได้มีคำพิพากษาคดีไป จึงเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 172 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 ประกอบมาตรา225 ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนการสืบพยานจำเลยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7093/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารปลอมเพื่อประกันตัว ถือเป็นการหลอกลวงศาลและเป็นภัยต่อกระบวนการยุติธรรม
ผู้ถูกกล่าวหานำที่ดินมาเป็นหลักประกันในการขอประกันตัวจำเลย พร้อมทั้งแสดงหนังสือรับรองราคาประเมินของสำนักงานที่ดินอันเป็นเอกสารปลอมเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยยื่นคำร้องขอใบประเมินราคาที่สำนักงานที่ดินมาแล้วครั้งหนึ่งต่อมามีผู้ชักชวนให้ผู้ถูกกล่าวหานำที่ดินแปลงดังกล่าวมาประกันตัวจำเลยในคดีนี้อีก โดยบอกว่ารู้จักเจ้าพนักงานที่ดินสามารถทำให้ราคาประเมินที่ดินสูงขึ้นได้โดยเสียค่าธรรมเนียม 1,500 บาท ย่อมแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า ผู้ถูกล่าวหาทราบดีอยู่แล้วว่าหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินฉบับนี้ไม่ถูกต้อง เพราะราคาประเมินที่ดินสูงเกินความเป็นจริง การที่ผู้ถูกกล่าวหานำหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินฉบับที่ไม่ถูกต้องมาใช้ยื่นขอประกันตัวจำเลยต่อศาลย่อมเป็นการหลอกลวงศาลให้ลงเชื่อถึงความถูกต้องของหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวจึงมีลักษณะร้ายแรง นับว่าเป็นภัยต่อกระบวนการยุติธรรมอันเป็นช่องทางให้จำเลยที่ได้รับการประกันตัวไปอาจหลบหนี้ได้ อีกทั้งเมื่อนายประกันผิดสัญญาประกันต่อศาล การบังคับคดีกับที่ดินแปลงที่เอาประกันอาจได้เงินไม่เพียงพอที่จะชำระตามสัญญาประกันอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการศาลได้แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรและมารดาที่แก่ชราก็ตาม ก็ไม่มีเหตุสมควรที่จะลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษให้ผู้ถูกกล่าวหา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2474/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: การไต่สวนพยานลับหลังจำเลยชอบด้วยกฎหมาย หากจำเลยได้รับแจ้งนัดและไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุ
บทบัญญัติในเรื่องละเมิดอำนาจศาลเป็นกฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจศาลในอันที่จะค้นหาความจริงได้โดย ไม่ต้องกระทำต่อหน้าผู้ถูกกล่าวหาดังเช่นคดีอาญาทั่วไป ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานโดยผู้ถูกกล่าวหา มิได้อยู่ด้วยจึงชอบแล้ว อย่างไรก็ดีแม้ว่าในวันที่ 30 มกราคม 2540 ศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบก่อนก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลื่อนไปไต่สวนต่อในวันที่ 21 มีนาคม 2540 และ ส่งหมายเรียกถึงผู้ถูกกล่าวหาโดยชอบแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาย่อมมีโอกาสโดยบริบูรณ์ที่จะแถลงข้อเท็จจริงให้ศาลทราบ รวมทั้งขออนุญาตถามค้านพยานที่เบิกความต่อศาลแล้ว ตลอดจนนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อหักล้างพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้นไต่สวน แต่ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งรับหมายเรียกของศาลด้วยตนเองกลับไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ทราบ เมื่อเป็นเช่นนี้การที่ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนพยานต่อไปจนเสร็จสำนวนแล้วมีคำสั่งว่าผู้ถูกกล่าวหาทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ทราบถือว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ติดใจสืบพยานจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2020/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำเลย - การสอบถามความต้องการทนายความ - กระบวนการยุติธรรมที่ไม่ชอบ - ปัญหาความสงบเรียบร้อย
คดีที่มีอัตราโทษจำคุกเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะต้องสอบถามจำเลยก่อนเริ่มพิจารณาว่ามีและต้องการทนายความหรือไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 173 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ให้ความคุ้มครองสิทธิของจำเลย เมื่อตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ปรากฏว่าได้มีการดำเนินการดังกล่าว และศาลอุทธรณ์ภาค 1ไม่ได้ดำเนินการให้ศาลชั้นต้นจัดการแก้ไขให้ถูกต้อง จึงเป็นกรณีที่ศาลล่างทั้งสองมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตาม กระบวนพิจารณา อันเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ จึงเป็น ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2) ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6951/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่ไม่ชอบ การพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ และผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม
ตามคำฟ้องโจทก์ระบุที่ตั้งของจำเลยอยู่บ้านเลขที่ 210จังหวัดชลบุรี หรือสำนักงานใหญ่ อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ชั้น 20และ 21 เลขที่ 191 กรุงเทพมหานคร แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 191 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ชั้น 20 และ 21 กรุงเทพมหานคร เพียงแห่งเดียวโดยไม่ปรากฏว่ามีสาขาอื่น เมื่อการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ให้จำเลยเฉพาะที่ตั้งอยู่เลขที่ 210 แห่งเดียวโดยมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยณ ที่สำนักงานใหญ่ของจำเลย แต่ตอนส่งคำบังคับตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลับมีการส่งให้จำเลยที่สำนักงานใหญ่ของจำเลยและส่งได้ จำเลยจึงทราบว่าถูกฟ้องคดีนี้ ดังนี้ เมื่อจำเลยมิได้มีสำนักงานสาขาตั้งอยู่เลขที่ 210 กรณีจึงถือไม่ได้ว่าได้มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยชอบ กระบวนพิจารณาคดีของศาลแรงงานภายหลังต่อมาไปจนถึงมีคำพิพากษาจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลฎีกาให้ศาลแรงงานดำเนินการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยใหม่และพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6466/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องอุทธรณ์ที่ขาดการลงลายมือชื่อ และสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดี
ฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ทนายความลงลายมือชื่อเป็นผู้อุทธรณ์โดยที่จำเลยยังมิได้ยื่นใบแต่งทนายความตั้งทนายความผู้นั้นเป็นทนายจำเลยเท่ากับเป็นฟ้องอุทธรณ์ที่ยังมิได้ลงลายมือชื่อจำเลยผู้อุทธรณ์ จึงเป็นฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ถูกต้องในส่วนที่เป็นรูปแบบซึ่งสามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งให้จำเลยแก้ไขฟ้องอุทธรณ์ ให้ถูกต้องเสียก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นกลับสั่งรับฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลย และศาลอุทธรณ์พบข้อผิดพลาดในการ ดำเนินกระบวนพิจารณาของคู่ความและศาลชั้นต้น ดังกล่าวแล้ว ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะย้อนสำนวนไป ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องได้ ด้วยการให้จำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้อุทธรณ์หรือยื่น ใบแต่งทนายความตั้งทนายความที่ลงลายมือชื่อเป็นผู้อุทธรณ์เป็นทนายจำเลย และกรณีนี้ก็หาได้ล่วงเลยเวลาที่ควรปฏิบัติไม่ ทั้งไม่ต้องด้วยความยุติธรรมที่จะให้จำเลยเสียสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาในชั้นอุทธรณ์ อันเนื่องมาแต่ข้อผิดพลาดในการดำเนินกระบวนพิจารณา ของคู่ความและศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ จำเลยเพราะเหตุที่จำเลยมิได้ยื่นใบแต่งทนายความจำเลย ย่อมเป็นการไม่ชอบ ประกอบกับคดีนี้จำเลยอุทธรณ์ ขอให้รอการลงโทษ และผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดี แก่จำเลยต่อไป จึงมีเหตุสมควร ให้ศาลฎีกายกคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้จำเลยแก้ไข ฟ้องอุทธรณ์ให้ถูกต้อง แล้วดำเนินการต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3782/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำเลยในการต่อสู้คดี – การอนุญาตเลื่อนสืบพยาน – กระบวนการยุติธรรม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 362 ในวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรก ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาโดยอ้างว่าทนายจำเลยมีอาการวิงเวียนศีรษะและอ่อนเพลียไม่สามารถมาศาลได้ โจทก์มิได้คัดค้านอีกทั้งไม่ปรากฏเหตุว่าจำเลยแกล้งประวิงคดี ประกอบกับคดีมีโทษจำคุกและจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา ตามรูปคดีจึงสมควรที่จะให้โอกาสจำเลยได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่และศาลชั้นต้นชอบที่จะอนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาไปสืบพยานจำเลยในครั้งต่อไปตามที่ได้นัดไว้ก่อนแล้วได้ แต่ศาลชั้นต้นหาได้กระทำไม่ จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาดั่งที่ ป.วิ.อ.มาตรา 179 วรรคสองบัญญัติไว้ เมื่อคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยเป็นการไม่ชอบ ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้จำเลยจะให้การปฏิเสธ ก็เป็นการปฏิเสธลอย ๆ โดยไม่ได้นำสืบหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ในชั้นพิจารณา คงมีแต่การซักค้านของทนายจำเลย ระหว่างสืบพยานโจทก์ซึ่งมีน้ำหนักน้อยไม่เพียงพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้จึงเป็นการวินิจฉัยที่ผิดพลาดต่อความเป็นจริงแห่งคดี เพราะการที่จำเลยไม่ได้สืบพยานจำเลยก็เนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีหาใช่เป็นกรณีที่จำเลยไม่สืบพยานจำเลยไม่
เมื่อศาลฎีกาเห็นเป็นการจำเป็นเพื่อให้คดีได้ดำเนินไปจนสิ้นกระแสความ ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้ศาลชั้นต้นได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาดังที่ ป.วิ.อ.มาตรา 208 (2) ประกอบด้วยมาตรา 225 บัญญัติให้อำนาจไว้ โดยให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาสืบพยานจำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
เมื่อศาลฎีกาเห็นเป็นการจำเป็นเพื่อให้คดีได้ดำเนินไปจนสิ้นกระแสความ ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้ศาลชั้นต้นได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาดังที่ ป.วิ.อ.มาตรา 208 (2) ประกอบด้วยมาตรา 225 บัญญัติให้อำนาจไว้ โดยให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาสืบพยานจำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพแล้วปฏิเสธฟ้อง: ศาลต้องเปิดโอกาสโจทก์สืบพยานก่อนพิพากษา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรจำเลยยื่นคำให้การรับสารภาพฐานรับของโจร เมื่อศาลชั้นต้นสอบจำเลย จำเลยกลับแถลงเพิ่มเติมว่า จำเลยไม่รู้ว่าทรัพย์ที่เอามาเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา แม้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยังไม่ทราบคำแถลงเพิ่มเติมที่เป็นการให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ แต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจรไปโดยผิดหลง เพราะเห็นว่าจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ศาลชั้นต้นจึงมิได้เปิดโอกาสให้โจทก์สืบพยานเช่นนี้ เมื่อมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทราบแล้วว่าจำเลยให้การปฏิเสธ แต่โจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีลงโทษจำเลยไป จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา243 (1) ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15 เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาระหว่างโจทก์กับจำเลย แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี