พบผลลัพธ์ทั้งหมด 29 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1960/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งเปลี่ยนชื่อต่ออำเภอ: ถือว่าแจ้งแล้วหากอำเภอทราบเรื่องทั้งหมด
การที่อำเภอท้องที่ที่ผู้แจ้งขึ้นทะเบียนทหารและจำเลยที่แจ้งให้ผู้นั้นทราบว่าทางราชการอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อเป็นแห่งเดียวกันและรับรู้เรื่องอยู่โดยตลอดแล้ว ก็ชอบที่จะดำเนินการแก้หนังสือสำคัญประจำตัวกับบัญชีหรือทะเบียนทหารได้เองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผู้นั้นไปย้อนแจ้งการเปลี่ยนชื่ออีก ย่อมถือได้เสมือนหนึ่งว่าผู้นั้นได้นำหลักฐานการเปลี่ยนชื่อไปแจ้งแก่นายอำเภอท้องที่ทราบอยู่ในตัวแล้ว ผู้นั้นจึงหาควรมีผิดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1663/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์บังคับคดีที่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากไม่มีผู้รักษาทรัพย์ และการสิ้นสภาพของทรัพย์
ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระข้าวค่าเช่าหรือเงินแก่โจทก์จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานไปยึดทรัพย์(ข้าว) จำเลยแล้ว แต่การยึดขัดข้องเพราะโจทก์ไม่สามารถหาคนรักษา แทนที่โจทก์จะดำเนินการตามวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 303(2) เกี่ยวกับเรื่องยึดทรัพย์ โจทก์กลับยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ตำรวจเป็นผู้รักษาทรัพย์ต่อไป เมื่อตำรวจตอบขัดข้องเพราะกำลังไม่พอประกอบกับมีเหตุพอสันนิษฐานได้ว่าข้าวในนาจำเลยได้เก็บเกี่ยวไปหมดแล้วเช่นนี้ คดีของโจทก์ก็ไม่มีทางที่จะสั่งประการใดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สินโดยไม่ดำเนินการตามกฎหมาย ก่อให้เกิดละเมิดและต้องชดใช้ค่าเสียหาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งเจ้าหน้าที่ - ฝ่ายทหารเข้ายึดทรัพย์สินและกิจการของบริษัทฯหนึ่ง โดยอาศัยอำนาจกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 12 แล้วให้กองทัพบกจัดการเกณฑ์ทรัยพ์สินของบริษัทนี้ให้มาเป็น - กรรมสิทธิของทางราชการทหารตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 10 ข้อ 2 ประกอบด้วยพ.ร.บ.เกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหาร พ.ศ. 2469 กระทรวงกลาโหมหาได้ดำเนินการเณฑ์ตามพ.ร.บ.เกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหาร พ.ศ. 2464 ไม่ คงยึดแต่ทรัพย์สินของบริษัทไว้เป็นเวลาถึงเกือบ 3 ปี แล้วจึงคืนให้บริษัท ดังนี้ ย่อมเป็นการยึดโดยมิได้มีอำนาจอันชอบด้วยกฎหมาย เพราะพ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 12 ให้อำนาจที่จะทำการยึดไว้ชั่วคราวเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อทางกระทรวงกลาโหมไม่ดำเนินการให้ถูกดต้องดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมเป็นการละเมิดสทิธิของบริษัทที่ถูกยึด ตามป.ม.แพ่งฯมาตรา 420 , 421 กระทรวงกลาโหมจึงต้องรับผิดใช่ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 325/2475
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์: การดำเนินการตามกฎหมายเมื่อไม่มีผู้แทนตามกฎหมาย
ถ้าไม่มีกฎหมายโดยตรงและประเพณีให้ใช้กฎหมายที่ใกล้เคียง ผู้แทนโดยชอบธรรมต้องศาลทั้ง
ที่ดิน พ.ร.บ. ออกโฉนดที่ดิน ร.ศ. 127 ม. 65 - 66 ให้ยื่นคำร้องต่อศาลตั้งผู้แทนของผู้เยาว์
ที่ดิน พ.ร.บ. ออกโฉนดที่ดิน ร.ศ. 127 ม. 65 - 66 ให้ยื่นคำร้องต่อศาลตั้งผู้แทนของผู้เยาว์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4920/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามคำพิพากษา: อำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดี
การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้โจทก์รื้อถอนเสาคอนกรีต แนวรั้วและปรับที่ดินของจำเลยให้อยู่ในสภาพเดิมและขนสิ่งของทั้งหมดที่โจทก์นำไปวางไว้ที่บริเวณใต้ถุนบ้านและในที่ดินของจำเลยออกให้หมด ถ้าโจทก์ไม่กระทำให้จำเลยดำเนินการโดยให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 ทวิ เพราะเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6121/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตายของจำเลยระหว่างพิจารณาคดี และผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณาคดี การดำเนินการเพื่อให้ทายาทเข้ามาเป็นคู่ความ
ก่อนถึงวันนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาเรื่องการขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 ทนายจำเลยที่ 1 ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นทราบว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายแล้ว ในกรณีเช่นนี้ ศาลชั้นต้นจะต้องสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายจริงหรือไม่ และหากเป็นความจริงก็ถือว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นจะต้องจัดให้มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 เสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาดังกล่าวโดยมิได้ดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 และการที่ทนายจำเลยที่ 1 มิได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวภายในกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันทราบเรื่องผิดระเบียบ แต่กลับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลานำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกามาวางต่อศาลชั้นต้นตามคำสั่งศาลฎีกาแทนจำเลยที่ 1 นั้นก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 ตัวการ เพราะการกระทำดังกล่าวมิใช่การดำเนินคดีไปในทางปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการตาม ป.พ.พ. มาตรา 828 แต่เป็นการกระทำที่มีผลทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่เสียหายเสียสิทธิที่จะยกข้อคัดค้านเรื่องผิดระเบียบดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างในภายหลังตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง เมื่อทนายจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาแทนจำเลยที่ 1 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินตามขอก็ดี และต่อมามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเพราะเหตุจำเลยที่ 1 ทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายก็ดี จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบไปด้วย ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2562
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การอายัดทรัพย์ และการพิจารณาความเห็นแย้งของพนักงานอัยการ
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐรับผิดในผลแห่งละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของตน โจทก์ทั้งสี่จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้โดยตรงตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
กรณีที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 แล้ว แต่โจทก์ที่ 4 หลบหนีและยังไม่ได้ตัวมา ซึ่งคดีจะขาดอายุความ อันทำให้คำสั่งอายัดทรัพย์สินนั้นสิ้นผลลง จำเลยที่ 1 จึงแจ้งจำเลยที่ 2 ดำเนินการกับทรัพย์สินของโจทก์ที่ 4 ให้ตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 จึงเกิดประโยชน์แก่ทางราชการมากกว่า ตามมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หาใช่เป็นการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ดังที่โจทก์ทั้งสี่อ้าง
จำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือความเห็นแย้งจากพนักงานอัยการเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2557 ว่าคดียังไม่มีเหตุผลที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน วันที่ 18 เมษายน 2557 คณะกรรมการธุรกรรมประชุมและมีมติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินวินิจฉัยชี้ขาดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 49 วรรคสาม วันที่ 29 พฤษภาคม 2557 คณะอนุกรรมการวินิจฉัยที่ได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุพอที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินและมีมติควรเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด และส่งเรื่องกลับไปให้เลขาธิการฯ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 มีการประชุมคณะกรรมการแต่ไม่มีการเสนอความเห็นแย้งของพนักงานอัยการให้คณะกรรมการพิจารณา เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิบางส่วนลาออกทำให้มีจำนวนไม่ครบ 9 คน วันที่ 6 มีนาคม 2558 มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิครบ 9 คน วันที่ 25 มีนาคม 2558 เลขาธิการฯ เสนอเรื่องความเห็นแย้งของพนักงานอัยการให้คณะกรรมการพิจารณา วันที่ 30 มีนาคม 2558 คณะกรรมการได้พิจารณาความเห็นแย้งดังกล่าว โดยมีมติให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินโจทก์ทั้งสี่ตกเป็นของแผ่นดิน กรณีถือได้ว่าคณะกรรมการได้พิจารณาชี้ขาดความเห็นแย้งของพนักงานอัยการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากเลขาธิการฯ ตามมาตรา 49 วรรคสาม แล้ว
กรณีที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 แล้ว แต่โจทก์ที่ 4 หลบหนีและยังไม่ได้ตัวมา ซึ่งคดีจะขาดอายุความ อันทำให้คำสั่งอายัดทรัพย์สินนั้นสิ้นผลลง จำเลยที่ 1 จึงแจ้งจำเลยที่ 2 ดำเนินการกับทรัพย์สินของโจทก์ที่ 4 ให้ตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 จึงเกิดประโยชน์แก่ทางราชการมากกว่า ตามมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หาใช่เป็นการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ดังที่โจทก์ทั้งสี่อ้าง
จำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือความเห็นแย้งจากพนักงานอัยการเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2557 ว่าคดียังไม่มีเหตุผลที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน วันที่ 18 เมษายน 2557 คณะกรรมการธุรกรรมประชุมและมีมติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินวินิจฉัยชี้ขาดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 49 วรรคสาม วันที่ 29 พฤษภาคม 2557 คณะอนุกรรมการวินิจฉัยที่ได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุพอที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินและมีมติควรเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด และส่งเรื่องกลับไปให้เลขาธิการฯ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 มีการประชุมคณะกรรมการแต่ไม่มีการเสนอความเห็นแย้งของพนักงานอัยการให้คณะกรรมการพิจารณา เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิบางส่วนลาออกทำให้มีจำนวนไม่ครบ 9 คน วันที่ 6 มีนาคม 2558 มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิครบ 9 คน วันที่ 25 มีนาคม 2558 เลขาธิการฯ เสนอเรื่องความเห็นแย้งของพนักงานอัยการให้คณะกรรมการพิจารณา วันที่ 30 มีนาคม 2558 คณะกรรมการได้พิจารณาความเห็นแย้งดังกล่าว โดยมีมติให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินโจทก์ทั้งสี่ตกเป็นของแผ่นดิน กรณีถือได้ว่าคณะกรรมการได้พิจารณาชี้ขาดความเห็นแย้งของพนักงานอัยการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากเลขาธิการฯ ตามมาตรา 49 วรรคสาม แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5417/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำพิพากษาอนุญาโตตุลาการ: การดำเนินการตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 และข้อจำกัดในการอุทธรณ์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการสมาคมประกันวินาศภัยไทยและให้อนุญาโตตุลาการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความหรือยกคำเสนอข้อพิพาท จึงเป็นคำร้องขอให้บังคับตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วเป็นกรณีอยู่ในบังคับต้องอุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาตามที่ มาตรา 45 วรรคสอง บัญญัติไว้ การที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์ฉบับแรกต่อศาลอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้รับอุทธรณ์ฉบับแรกและส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาจึงไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวไว้วินิจฉัยแล้วจำหน่ายอุทธรณ์ฉบับแรกของผู้ร้องนั้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งอุทธรณ์ฉบับแรกให้ศาลฎีกาวินิจฉัยนั้นยังไม่ถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วการที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นใหม่เป็นฉบับที่สองและศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ ฉบับที่สองของผู้ร้องที่ยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์นับแต่อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่ชอบเช่นกัน กรณีจึงต้องยกอุทธรณ์ฉบับที่สองของผู้ร้อง เมื่อสำนวนคดีนี้มาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับแรกของผู้ร้องไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งอุทธรณ์ดังกล่าวของผู้ร้องมายังศาลฎีกาอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 829/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ได้รับใบอนุญาตซื้อ แต่ต้องดำเนินการขอใบอนุญาตมีและใช้ หากไม่ดำเนินการถือเป็นอาวุธปืนผิดกฎหมาย
แม้จำเลยจะได้รับใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนส่วนบุคคล (แบบ ป.3) โดยถูกต้อง แต่จำเลยไม่ดำเนินการเพื่อออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) ภายในอายุใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนส่วนบุคคล (แบบ ป.3) เช่นนี้ ถือได้ว่า ขณะจำเลยกระทำความผิดคดีนี้ อาวุธปืนของกลางจึงเป็นอาวุธปืนที่ไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย หรืออีกนัยหนึ่งว่าเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทางทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ อันเป็นทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดมีไว้เป็นความผิด ต้องริบเสียทั้งสิ้น ตาม ป.อ. มาตรา 32 ด้วยเหตุนี้ จำเลยจะอ้างเหตุว่าภายหลังเกิดเหตุจำเลยได้จดทะเบียนให้มีและใช้อาวุธปืนของกลางถูกต้องเรียบร้อยแล้ว มาเป็นข้อแก้ตัวเพื่อมิให้ริบอาวุธปืนของกลางไม่ได้