คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
การพิจารณาโทษ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 28 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 732-733/2485 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จในคดีขับรถประมาททำให้เสียชีวิต มีผลต่อการพิจารณาโทษทางอาญา
ไนคดีที่ฟ้องหาว่าขับรถยนต์ไนเวลาร่างกายหย่อนความสามาถไนอันจะขับและไนเมื่อเสพสุราหรือของเมาหย่างอื่นๆ ข้อว่าผู้ขับรถยนต์ได้ดื่มกินสุราจิงหรือไม่ นับว่าเปนประเด็นหรือข้อสำคันไนคดี มีผลได้เสียไนทางคดีโดยตรง เมื่อเบิกความเท็ดไนข้อนี้ จึงฟังว่าคำเบิกความเท็ดนั้น เปนข้อสำคันไนคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594/2482

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเกี่ยวพันของโทษจำคุกและกักกันในคดีชิงทรัพย์ การพิจารณาโทษทั้งสองอย่างต่อเนื่อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตาม ม.299 แห่งกฎหมายอาญา กับให้ลงโทษกักกัน 3 ปี จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกโทษกักกันศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในความผิดฐานชิงทรัพย์ด้วยได้ เพราะเป็นกรณีเกี่ยวพันกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2475

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษทางอาญาทหาร: การเมาสุรา, ละเมิดวินัย, และความเสียหายต่อทรัพย์สิน
ศาลทหารบกกลางแก้คำพิพากษาให้เบาลงโจทก์ฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตาม ม. 50
วิธีพิจารณาอาชญา ข้อหาว่าจำเลยเลมิดข้อบังคับแลกฎยุทธวินัยทหารถ้าไม่ได้เสนอขึ้นมาศาลไม่วินิจฉัยให้ ดุลยพินิจของศาลในการให้นับกำหนดโทษเบาลง ฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9087/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษจำเลยซ้ำ โดยพิจารณาจากประวัติอาชญากรรมและการกระทำความผิดซ้ำ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ก่อนคดีนี้ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 15 เดือน ฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย และร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 158/2549 ของศาลชั้นต้น จำเลยกระทำความผิดในคดีก่อนในขณะที่มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปี และมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ทั้งศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกไม่น้อยกว่าหกเดือน และภายใน 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษในคดีดังกล่าว (จำเลยพ้นโทษวันที่ 1 กันยายน 2552) จำเลยกลับมากระทำผิดในคดีนี้ ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายซ้ำในอนุมาตราเดียวกันอีก และมิใช่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ถือได้ว่าโจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับการเพิ่มโทษจำเลยมาแล้ว เมื่อความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่ง ตาม ป.อ. มาตรา 93 ได้ ศาลก็มีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 ซึ่งเป็นบทเบากว่าได้ แม้โจทก์จะขอเพิ่มโทษตาม ป.อ. มาตรา 93 โดยไม่ได้ขอตาม ป.อ. มาตรา 92 มาด้วย ก็ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13702/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด ต้องพิจารณาคดีถึงที่สุดก่อน หากคดีก่อนยกฟ้อง การเพิ่มโทษจึงไม่ชอบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2551 จำเลยเคยต้องโทษจำคุกมีกำหนด 3 ปี 6 เดือน และปรับ 200,000 บาท ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1800/2551 ของศาลจังหวัดปทุมธานี ซึ่งมิใช่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จำเลยได้กระทำความผิดในคดีก่อนนั้นในขณะที่มีอายุเกินกว่าสิบแปดปี จำเลยพ้นโทษในคดีดังกล่าวแล้วภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ จำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้ขึ้นอีก และจำเลยให้การรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้องจริง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 และสำเนาคำพิพากษาของศาลจังหวัดปทุมธานีท้ายรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวว่า คดีที่จำเลยถูกกล่าวหาว่าร่วมกับ อ. จำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1800/2551 ของศาลจังหวัดปทุมธานี มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น จำเลยถูกฟ้องแยกเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1322/2552 ของศาลจังหวัดปทุมธานี ซึ่งศาลจังหวัดปทุมธานีพิพากษายกฟ้อง และปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดท้ายฎีกา ซึ่งโจทก์ไม่ได้แก้ฎีกาให้ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลจังหวัดปทุมธานีและคดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ จำเลยจึงมิใช่ผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกและกระทำความผิดคดีนี้ภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ จึงเพิ่มโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14917/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอให้นับโทษต่อจากคดีอาญาอื่น ไม่ต้องระบุรายละเอียดผลคดีเดิม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3590/2556 ของศาลชั้นต้น กับขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาดังกล่าว ถือว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงว่า จำเลยถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3590/2556 ของศาลชั้นต้นแล้ว โดยไม่จำต้องระบุรายละเอียดว่า คดีดังกล่าวศาลพิพากษาลงโทษจำเลยหรือไม่ อย่างไร เพราะการขอให้นับโทษต่อหาได้มีกฎหมายบัญญัติว่าต้องกล่าวรายละเอียดดังกล่าวมาในคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4319/2552 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีพนัน แม้เวลาในฟ้องไม่ตรงกับเวลาที่เกิดเหตุ และการพิจารณาโทษจำเลย
ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2550 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกเล่นการพนันสลากกินรวบพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยจำเลยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และถือเอาเลขท้าย 2 ตัว เลขท้าย 3 ตัว ของรางวัลที่ 1 กับเลขท้าย 2 ตัว เลขท้าย 3 ตัว ของสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2550 เป็นเลขถูกรางวัล เหตุเกิดที่ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี นั้น ถือว่าเป็นฟ้องที่ได้ระบุถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ชอบด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ มาตรา 4 และ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดฯ มาตรา 3 แล้วฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ ที่ข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏตามคำร้องขอผัดฟ้องครั้งที่ 1 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2550 ว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 อันแสดงว่าจำเลยน่าจะกระทำความผิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 ไม่ใช่วันที่ 1 สิงหาคม 2550 ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ก็เป็นเพียงการพลั้งเผลอในการเรียงและพิมพ์ฟ้องผิดพลาดไปเท่านั้น กรณีหาใช่เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ก่อนที่จำเลยจะกระทำความผิด อันจะทำให้เป็นฟ้องที่ขัดกับสภาพความเป็นจริงไม่ ทั้งจำเลยให้การรับสารภาพมาโดยตลอด ในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็อุทธรณ์เพียงขอให้รอการลงโทษ แสดงว่าจำเลยทราบดีถึงการกระทำความผิดของตน การที่โจทก์บรรยายฟ้องระบุรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาที่จำเลยกระทำความผิดผิดพลาดไปดังกล่าวจึงมิได้เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4189/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษเพื่อใช้สิทธิฎีกาในคดีอาญา ต้องรวมการเพิ่มโทษด้วย
การที่จะพิจารณาว่าคดีใดต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาเป็นรายกระทงความผิดและกำหนดโทษสุดท้ายที่จำเลยได้รับ ซึ่งการเพิ่มโทษจำเลยในความผิดใด โทษที่เพิ่มขึ้นก็ย่อมรวมเป็นโทษที่ศาลจะนำไปกำหนดโทษสุดท้ายที่จำเลยได้รับในความผิดนั้น ดังนั้น จึงต้องนำการเพิ่มโทษมาคำนวณในการใช้สิทธิฎีกาด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดโทษสุดท้ายที่จำเลยที่ 1 ได้รับให้จำคุกแต่ละกระทงเกิน 5 ปี จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2550)
of 3