พบผลลัพธ์ทั้งหมด 80 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บาดแผลจากการถูกทำร้ายร่างกายไม่ถึงขั้นอันตรายสาหัส การพิพากษาความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
โจทก์ร่วมถูกชกบริเวณใบหน้าเป็นรอยฟกช้ำและดั้งจมูกหักแต่สามารถไปไหนมาไหน และไปทำงานได้ตามปกติ แม้แพทย์มีความเห็นว่าใช้เวลารักษาบาดแผลประมาณ ๓๐ วัน ก็เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับการรักษาบาดแผลให้หายเป็นปกติเท่านั้นยังไม่ถึงขนาดเป็นอันตรายสาหัส.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3218/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์: ศาลพิพากษาลงโทษได้แม้การปลูกสร้างหลักฐานไม่ครบถ้วน หากมีพฤติกรรมรบกวนต่อเนื่อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองปลูกสร้างอาคารในที่ดินราชพัสดุ เพื่อถือการครอบครองที่ดินบางส่วนอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุขเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานที่ปลูกสร้างอาคารเพื่อถือการครอบครองและปลูกสร้างอาคารอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ด้วย มิใช่ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างอาคารเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์แต่เพียงอย่างเดียว เมื่อฟังได้ว่า เรือนพิพาทปลูกอยู่ในแม่น้ำ มีไม้ระแนงขึ้นจากพื้นดินยาว 1 วา แม้การปลูกตัวเรือนพิพาทไม่เป็นความผิดฐานเข้าไปถือการครอบครองที่พิพาท แต่การที่จำเลยมีไม้ระแนงขึ้นเรือนซึ่งพาดจากพื้นดินไปสู่เรือนพิพาทและเกี่ยวข้องในที่ดินและผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้จำเลยหยุดการกระทำแล้ว จำเลยยังคงฝ่าฝืน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยปกติสุขของผู้อื่น ศาลย่อมพิพากษาลงโทษได้มิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1030/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีแพ่ง: การนำสืบข้อเท็จจริงตามประเด็นที่ศาลกำหนด และผลของการพิพากษาคดีก่อน
คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยมีสิทธิเบิกเงินสะสมของโจทก์เพื่อชดใช้เงินของทางราชการที่ขาดหายไปหรือไม่ การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ตรวจสอบควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา อันเป็นการทำละเมิดซึ่งโจทก์ต้องรับผิดชดใช้เงินดังกล่าว ทำให้จำเลยมีสิทธิเบิกเงินสะสมของโจทก์เพื่อชดใช้เงินของทางราชการที่ขาดหายไป เป็นการนำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลย ไม่เป็นการนอกประเด็น
คดีเดิมมีประเด็นว่า โจทก์ทำละเมิดโดยร่วมกับ ส. โดยจงใจเบียดบังค่าภาษีอากร เงินรายได้อื่น และเงินทุนไปรษณีย์ของทางราชการหรือไม่ ส่วนคดีหลังมีประเด็นว่าโจทก์ทำละเมิดโดยละเว้นปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ควบคุม ส. ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงาน เป็นเหตุให้ ส. เบียดบังเอาเงินของทางราชการไปหรือไม่ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ทำละเมิดในคดีแรกและคดีถึงที่สุดแล้วก็เป็นคนละประเด็นกับคดีหลังซึ่งศาลยังมิได้วินิจฉัย ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ต้องรับผิดในคดีก่อนจึงหาผูกพันคดีหลังไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คดีเดิมมีประเด็นว่า โจทก์ทำละเมิดโดยร่วมกับ ส. โดยจงใจเบียดบังค่าภาษีอากร เงินรายได้อื่น และเงินทุนไปรษณีย์ของทางราชการหรือไม่ ส่วนคดีหลังมีประเด็นว่าโจทก์ทำละเมิดโดยละเว้นปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ควบคุม ส. ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงาน เป็นเหตุให้ ส. เบียดบังเอาเงินของทางราชการไปหรือไม่ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ทำละเมิดในคดีแรกและคดีถึงที่สุดแล้วก็เป็นคนละประเด็นกับคดีหลังซึ่งศาลยังมิได้วินิจฉัย ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ต้องรับผิดในคดีก่อนจึงหาผูกพันคดีหลังไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินฯ และการพิพากษาเกี่ยวกับอายุความและฐานะจำเลย
โจทก์ฟ้องคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลและคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดเป็นจำเลยที่ 2ที่ 3 ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองให้คณะกรรมการดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่อยู่ในฐานะที่ถูกฟ้องร้องได้ และฟ้องโจทก์แปลความไม่ได้ว่า โจทก์ฟ้องตัวบุคคลที่ประกอบเป็นคณะกรรมการเพราะโจทก์มิได้ระบุชื่อเป็นรายบุคคล โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2ที่ 3 ไม่ได้ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของที่นาพิพาทเป็นผู้บอกเลิกการเช่าแก่โจทก์เมื่อโจทก์เห็นว่าการบอกเลิกการเช่าไม่ชอบ จำเลยที่ 1จึงเป็นผู้โต้แย้งสิทธิเกี่ยวกับการเช่าที่นาพิพาทกับโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ให้โจทก์เช่าที่นาพิพาทต่อไปได้ทั้งนี้โดยอาศัยสิทธิตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 57 ซึ่งบัญญัติให้โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ในกรณีที่โจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอและการนำสืบพยานนอกประเด็น: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยขอบเขตการครอบครองที่ดินได้
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การที่จำเลยนำสืบว่าที่พิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุก็เพื่อแสดงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง สิทธิครอบครองเป็นของจำเลย จำเลยชอบที่จะนำสืบได้ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็นหรือนอกคำให้การ
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโจทก์ เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินโจทก์ ศาลชั้นต้นยังพิพากษาขับไล่จำเลยจึงเป็นการเกินคำขอของโจทก์ ในการพิจารณาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ หากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่เกินคำขอ หากอยู่ในที่ดินแปลงอื่นของบุคคลอื่นคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เกินคำขอ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุคนละแปลงกับที่ดินโจทก์เพื่อที่จะได้วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ ก็อยู่ในขอบเขตที่จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาเกินอุทธรณ์แต่อย่างใด
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโจทก์ เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินโจทก์ ศาลชั้นต้นยังพิพากษาขับไล่จำเลยจึงเป็นการเกินคำขอของโจทก์ ในการพิจารณาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ หากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่เกินคำขอ หากอยู่ในที่ดินแปลงอื่นของบุคคลอื่นคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เกินคำขอ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุคนละแปลงกับที่ดินโจทก์เพื่อที่จะได้วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ ก็อยู่ในขอบเขตที่จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาเกินอุทธรณ์แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีแรงงานต้องอาศัยการสืบพยานเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริงเรื่องการกระทำผิดวินัยร้ายแรง การงดสืบพยานโดยอาศัยเพียงเอกสารไม่เพียงพอ
ตามคำฟ้องและคำให้การคดีมีประเด็นหลักที่ต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า คู่ความแถลงรับกันว่าข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นมีอยู่เป็นไปตามคำฟ้อง คำให้การเอกสารท้ายฟ้องท้ายคำให้การ...แล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาคดีไปนั้น เห็นได้ว่า ข้อเท็จจริงย่อมจะเป็นไปตามข้ออ้างข้อหาในคำฟ้องและขณะเดียวกันก็เป็นไปตามคำให้การด้วยไม่ได้ลำพังเอกสารที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกขึ้นอ้าง ยังไม่เพียงพอแก่การที่จะวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นในคดี จึงเป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยการพิจารณา ต้องย้อนสำนวนไปให้พิจารณาพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4238/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางในคดีวิทยุคมนาคมผิดกฎหมาย: ศาลยืนตามอุทธรณ์ให้ริบทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง
เมื่อศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมและส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต บรรดาเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมที่จำเลยมีไว้โดยยังมิได้รับอนุญาตจึงเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดและต้องริบตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคมพ.ศ. 2498
ฎีกาของจำเลยว่าทรัพย์สองรายการตามบัญชีทรัพย์ของโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือใช้ประกอบเครื่องวิทยุคมนาคมในการสื่อสารจึงไม่ใช่ส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาของจำเลยว่าทรัพย์สองรายการตามบัญชีทรัพย์ของโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือใช้ประกอบเครื่องวิทยุคมนาคมในการสื่อสารจึงไม่ใช่ส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาโทษอาญาที่ถูกต้อง การลดโทษ และการริบของกลางตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุก 18 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93 เป็นจำคุก 27 ปี มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจำคุกคนละ 6 เดือน เป็นโทษจำคุก 29 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก19 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 จำคุก 12 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93 เป็นจำคุก 18 ปี รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นจำคุก 20 ปี ไม่ได้ลดโทษให้แก่จำเลย เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกไว้ 13 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก.
(วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2530).
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก.
(วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2530).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษฐานชิงทรัพย์และมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาต รวมถึงประเด็นการลดโทษและริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุก 18 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93เป็นจำคุก 27 ปี มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯมาตรา 7,8 ทวิ,72,72 ทวิฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี 6 เดือนฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจำคุกคนละ 6เดือน เป็นโทษจำคุก29 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก19 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 จำคุก 12 ปีเพิ่มโทษตามมาตรา 93เป็นจำคุก 18 ปี รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นจำคุก 20 ปี ไม่ได้ลดโทษให้แก่จำเลย เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ เป็นการไม่ถูกต้องศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกไว้ 13 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก. (วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่8/2530).
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก. (วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่8/2530).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3518-3522/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลในการหักวันต้องขังก่อนพิพากษา ไม่จำเป็นต้องมีคำขอจากโจทก์
การที่ศาลจะสั่งหักจำนวนวันที่จำเลยถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาออกจากโทษจำคุกตามคำพิพากษาหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 วรรคแรก และมิใช่กรณีที่หากโจทก์ไม่มีคำขอขึ้นมา ศาลจะวินิจฉัยให้ไม่ได้