พบผลลัพธ์ทั้งหมด 55 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3081/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องล้มละลายเพื่อประโยชน์เจ้าหนี้อื่น แม้เจ้าหนี้ผู้ฟ้องไม่ขอรับชำระหนี้ ก็ไม่เป็นเหตุให้ยกฟ้อง
การฟ้องคดีล้มละลายเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้ฟ้องเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ด้วย การที่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ไม่ขอรับชำระหนี้ก็เป็นสิทธิของเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังมีหน้าที่ดำเนินการให้ได้ผลเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้รายอื่น ๆ และคดีไม่ปรากฎเหตุขัดข้อง แม้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ไม่ยอมชำระค่าธรรมเนียมแต่ที่ประชุมของเจ้าหนี้ก็ได้แต่งตั้งเจ้าหนี้อื่นเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์แทนแล้ว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา156 ข้อขัดข้องย่อมหมดไปไม่มีเหตุที่จะต้องยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2271/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจา โจทก์ต้องไปศาลเพื่อแจ้งข้อมูลด้วยตนเอง มิฉะนั้นถือว่าไม่เป็นการฟ้อง
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาในศาลแขวงนั้น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 20 กำหนดไว้ว่าถ้าผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ให้พนักงานสอบสวนนำผู้ต้องหามายังพนักงานอัยการ เพื่อฟ้องศาลโดยไม่ต้องสอบสวนและให้ฟ้องด้วยวาจา และมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่าการฟ้องด้วยวาจาให้โจทก์แจ้งต่อศาลถึงชื่อโจทก์ ชื่อ ที่อยู่ และสัญชาติของจำเลย ฐานความผิด การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดและอื่น ๆ อีกหลายประการ เช่นนี้ โจทก์จึงต้องมาศาล เมื่อโจทก์เพียงแต่ให้พนักงานธุรการนำบันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจามายื่นต่อศาล โดยโจทก์ไม่มาศาล ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจา
บันทึกการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์เป็นเพียงหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจา และเพื่อความสะดวกที่ศาลจะบันทึกการฟ้องด้วยวาจาลงในแบบพิมพ์ของศาลได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น หาใช่ฟ้องด้วยวาจาตามกฎหมายไม่.
บันทึกการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์เป็นเพียงหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจา และเพื่อความสะดวกที่ศาลจะบันทึกการฟ้องด้วยวาจาลงในแบบพิมพ์ของศาลได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น หาใช่ฟ้องด้วยวาจาตามกฎหมายไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญชาติไทยโดยการเกิดและผลของการถอนสัญชาติที่ผิดหลักเกณฑ์ การฟ้องเพื่อระงับการละเมิดสิทธิ
ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ข้อ 1บัญญัติไว้ว่าให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าวแต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายและขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น (3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ปรากฏว่าโจทก์เกิดในประเทศไทยและเป็นบุตรของนาง ต.คนสัญชาติไทยกับนายค. คนสัญชาติญวนบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย เช่นนี้โจทก์ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตาม พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(3) และเป็นผู้ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวที่จะถูกถอนสัญชาติไทยเนื่องจากบิดาโจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวนั้นเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคำว่า 'บิดาเป็นคนต่างด้าว' ตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวหมายความถึงบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นหาหมายความรวมถึงบิดาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยไม่
การที่จำเลยถอนชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนบ้านของโจทก์โดยอ้างว่าเป็นคนสัญชาติญวน ย่อมทำให้โจทก์เสียสิทธิต่าง ๆในฐานะเป็นคนสัญชาติไทย เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ตามกฎหมายแพ่ง โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
อายุความตามที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 บัญญัติไว้หมายถึงการฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดเท่านั้น คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นบุคคลมีสัญชาติไทย และให้จำเลยเพิ่มชื่อโจทก์ลงในทะเบียนบ้านของโจทก์เป็นการฟ้องขอให้ระงับการกระทำละเมิดที่ยังมีอยู่ มิใช่เป็นการเรียกเอาค่าเสียหาย จึงหาอยู่ในบังคับต้องฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปี ตามบทมาตราดังกล่าวไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
การที่จำเลยถอนชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนบ้านของโจทก์โดยอ้างว่าเป็นคนสัญชาติญวน ย่อมทำให้โจทก์เสียสิทธิต่าง ๆในฐานะเป็นคนสัญชาติไทย เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ตามกฎหมายแพ่ง โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
อายุความตามที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 บัญญัติไว้หมายถึงการฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดเท่านั้น คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นบุคคลมีสัญชาติไทย และให้จำเลยเพิ่มชื่อโจทก์ลงในทะเบียนบ้านของโจทก์เป็นการฟ้องขอให้ระงับการกระทำละเมิดที่ยังมีอยู่ มิใช่เป็นการเรียกเอาค่าเสียหาย จึงหาอยู่ในบังคับต้องฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปี ตามบทมาตราดังกล่าวไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงตัวผู้เสียหายในคดีดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ทำให้ข้อเท็จจริงในฟ้องไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกล่าวดูหมิ่นเจ้าพนักงงานคือร้อยตำรวจโทธวัชชัย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกล่าวดูหมิ่นสิบตำรวจโทสมศรี มิใช่กล่าวดูหมิ่นร้อยตำรวจโทธวัชชัย จึงถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแรงงาน: การฟ้องก่อนเกิดข้อพิพาท, วินิจฉัยนอกฟ้อง, และผลกระทบต่อการพิจารณา
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2526 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ 10 ตุลาคม 2526 ดังนี้ ขณะฟ้องยังไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายเรื่องจำเลยเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1108/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทที่มิได้กำหนดไว้ในศาลชั้นต้น ถือเป็นการสละสิทธิในการนำสืบ และการฟ้องขอเพิกถอนการให้ทรัพย์
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์อันเป็นเหตุจะทำให้โจทก์ถอนคืนการให้ทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า โจทก์ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยมีค่าตอบแทนหรือไม่ ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ จำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้นั้นไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วนตามที่จำเลยต่อสู้ไว้ จึงต้องถือว่าข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าโจทก์ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยมีค่าตอบแทนจำเลยได้สละเสียแล้ว ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยนำสืบและรับวินิจฉัยให้ จึงเป็นการรับฟังและวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2926-2929/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กระบวนการพิจารณาคดีไม่ชอบ ศาลต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ และการนำสืบไม่เกินขอบเขตคำฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การวันนัดพร้อมจำเลยที่ 2 มิได้มาศาลศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ไม่เคยแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 2 ทราบเลย ดังนี้ กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นับตั้งแต่วันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกและภายหลังแต่นั้นมาไม่ชอบ และไม่มีผลผูกพัน จำเลยที่ 2 ต้องยกคำพิพากษาของศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า อ. ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์บรรทุกโดยประมาทล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถด้านขวาด้วยความเร็วสูง เป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์นั่ง ทำให้สามีโจทก์ที่ 1 ตาย โจทก์ที่ 2 บาดเจ็บสาหัส ดังนี้ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว การที่โจทก์นำสืบว่า อ. ขับรถยนต์บรรทุกแซงรถยนต์บรรทุกคันอื่นขึ้นมาเฉี่ยวชนกับรถฝ่ายโจทก์ เป็นการนำสืบถึงรายละเอียด ไม่เป็นการนำสืบนอกคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า อ. ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์บรรทุกโดยประมาทล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถด้านขวาด้วยความเร็วสูง เป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์นั่ง ทำให้สามีโจทก์ที่ 1 ตาย โจทก์ที่ 2 บาดเจ็บสาหัส ดังนี้ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว การที่โจทก์นำสืบว่า อ. ขับรถยนต์บรรทุกแซงรถยนต์บรรทุกคันอื่นขึ้นมาเฉี่ยวชนกับรถฝ่ายโจทก์ เป็นการนำสืบถึงรายละเอียด ไม่เป็นการนำสืบนอกคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2400/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องต้องเกิดจากการโต้แย้งสิทธิ หากไม่มีการโต้แย้งสิทธิ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จะเป็นผู้จัดการมรดก
โจทก์ฟ้องว่า ล. ทำพินัยกรรมตั้งบุตรเจ็ดคนรวมทั้งโจทก์จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกและยกที่พิพาทให้แก่บุตรทั้งเจ็ดคนละส่วน โจทก์จำเลยและบุตรผู้ได้รับมรดกยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอรังวัดออกโฉนดที่ดินสำหรับที่พิพาท ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอถอนคำขอรังวัดที่ดินทำให้ไม่อาจรังวัดได้ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยยอมให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินดังนี้ คำฟ้องของโจทก์มิใช่เป็นการฟ้องเพื่อขอแบ่งมรดกหรือเป็นการฟ้องในฐานะที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกที่มีหน้าที่จะต้องแบ่งทรัพย์มรดกแก่ทายาทตามพินัยกรรมแต่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัว การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังไม่พอถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ก็ไม่มีฟ้องของโจทก์และตัวโจทก์ที่จำเลยจะฟ้องแย้ง
เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ก็ไม่มีฟ้องของโจทก์และตัวโจทก์ที่จำเลยจะฟ้องแย้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2708/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคุ้มครองสิทธิชั่วคราวต้องตรงกับการกระทำที่ถูกฟ้อง และไม่กระทบสิทธิบุคคลภายนอก
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทำหนังสือมอบอำนาจให้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์มีสิทธิและอำนาจดำเนินการขุดแร่หรือโอนขายประทานบัตรและอื่นๆ ได้ทั้งสิ้นตามสัญญาขายสิทธิการทำเหมืองแร่ เช่น ดังที่จำเลยได้เคยทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไว้แต่เดิมและขอให้เพิกถอนหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยมอบอำนาจไห้ว.มาเปิดทำการขุดหาแร่ในที่ประทานบัตรที่ขายให้โจทก์ อันเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวนเป็นราคาเงินได้ แล้วโจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลย และ ว.เข้าทำเหมืองแร่ ดังนี้คำฟ้องของโจทก์มิใช่เรื่องขอให้บังคับเอาแก่ตัวทรัพย์หรือเหมืองแร่ที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสิทธิของโจทก์เลย และโจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายมาด้วย เหมืองแร่ที่ ว. เข้าไปทำจึงมิใช่ตัวทรัพย์ที่พิพาทในคดีนี้ การที่โจทก์มายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสิทธิของโจทก์ดังกล่าว จึงไม่ตรงกับการกระทำที่จำเลยถูกฟ้อง ซึ่งไม่เกี่ยวกับตัวทรัพย์หรือเหมืองแร่ หากการกระทำของ ว. และจำเลยอาจเกิดความเสียหายแก่โจทก์ในเวลาต่อมา ก็เป็นเรื่องนอกคำขอท้ายฟ้องคดีนี้ และศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองสิทธิของโจทก์ให้กระทบกระเทือนถึง ว. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและไม่มีโอกาสต่อสู้คดีหาได้ไม่ ศาลจึงไม่จำต้องรับคำร้องของโจทก์ไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1753/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจและสัญญาค้ำประกัน: การปิดอากรแสตมป์และผลของการไม่ฟ้องลูกหนี้ตามสัญญา
โจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องเพียงคดีเดียว กิจการต่าง ๆ ที่ระบุไว้ เช่น การแต่งทนาย ถอนฟ้อง ยอมความ อุทธรณ์ฎีกา รวมตลอดถึงการรับเงินในคดี ล้วนเป็นแต่กิจการเฉพาะคดีนั้นทั้งสิ้น จึงไม่ใช่ใบมอบอำนาจทั่วไป คงปิดอากรแสตมป์เพียง 5 บาท
หนังสือรับสภาพหนี้ ไม่ใช่ตราสารตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ในประมวลรัษฎากร จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์
การค้ำประกันจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อมีกรณีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ คือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 ถึง 701 เช่น เจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้ลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันขอชำระหนี้แล้วเจ้าหนี้ไม่ยอมรับ การที่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันแจ้งให้เจ้าหนี้คือโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้เสียภายใน 7 วัน แต่โจทก์ไม่ฟ้องคดีนั้น การค้ำประกันยังไม่ระงับ
หนังสือรับสภาพหนี้ ไม่ใช่ตราสารตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ในประมวลรัษฎากร จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์
การค้ำประกันจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อมีกรณีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ คือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 ถึง 701 เช่น เจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้ลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันขอชำระหนี้แล้วเจ้าหนี้ไม่ยอมรับ การที่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันแจ้งให้เจ้าหนี้คือโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้เสียภายใน 7 วัน แต่โจทก์ไม่ฟ้องคดีนั้น การค้ำประกันยังไม่ระงับ