คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
การฟ้องคดี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 31 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2491-2493/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีส่วนได้เสียในการฟ้องคดี, การเข้าเป็นคู่ความแทนผู้ถึงแก่กรรม, และการพิจารณาคดีใหม่
ก่อนโจทก์ที่ 1 ที่ 2 จดทะเบียนซื้อที่ดินมีโฉนดจากโจทก์ที่ 3 จำเลยทำการรังวัดสอบเขตที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินดังกล่าว ดังนี้ ทำให้โจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหายและอาจถูกโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฟ้องไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทนได้ โจทก์ที่ 3 มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีแล้วโจทก์ที่ 3 จึงเข้าเป็นโจทก์ในคดีที่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฟ้องจำเลยด้วยได้
ก่อนวันนัดสืบพยาน โจทก์ที่ 3 ตาย ศาลชั้นต้นสั่งงดการดำเนินคดี เพื่อรอผู้เข้ารับมรดกความแทนโจทก์ที่ 3 ก่อนพ้นเวลา 1 ปี ตามกฎหมายกำหนด ศาลชั้นต้นกลับสั่งว่าโจทก์ที่ 3 ไม่มีส่วนได้เสียในคดี ให้เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องโจทก์ที่ 3 และได้นัดสืบพยานโจทก์ไป เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์ที่ 3 มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นการตัดสิทธิทายาทของโจทก์ที่ 3 หรือผู้จัดการทรัพย์มรดก แต่เมื่อนับแต่โจทก์ที่ 3 ได้ถึงแก่กรรมไปจนถึงวันที่ศาลฎีกาพิพากษาเกินกว่า 1 ปีแล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องโจทก์ที่ 3 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของศาลชั้นต้นในการที่กำหนดเวลาปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ว่าด้วยการเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 3 ผู้มรณะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2380/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีเช็ค: เริ่มนับแต่วันธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน แม้ผู้ทรงเช็คจะเปลี่ยนมือ
เช็คพิพาทได้ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2515 ผู้ทรงเช็คในขณะนั้นทราบเรื่องแต่ได้สลักหลังโอนเช็คให้โจทก์ โจทก์นำไปขึ้นเงินและถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอีกครั้ง เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2515 ต้องถือว่าวันที่ 14 เมษายน 2515 เป็นวันที่ความผิดได้เกิดขึ้น และเป็นวันรู้เรื่องการกระทำผิด เมื่อโจทก์นำเช็คดังกล่าวมาฟ้องคดีในวันที่ 1 สิงหาคม 2515 เป็นเวลาเกินกว่าสามเดือน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 แม้โจทก์จะเป็นผู้ทรงเช็คภายหลังก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสิทธิเรียกร้องค่าจ้างและการดำเนินการฟ้องคดีโดยนิติบุคคลหลังผู้มีอำนาจถึงแก่ความตาย
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ซึ่งเป็นนิติบุคคล ทำสัญญาจ้างจำเลยตัดฟันชักลากไม้และจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้าให้จำเลยไปจำเลยผิดสัญญา องค์การเรียกให้จำเลยใช้เงินคืน จำเลยไม่ใช้ องค์การจึงฟ้อง สิทธิเรียกร้องในกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องนายจ้างเรียกเอาเงินค่าจ้างอันตนได้จ่ายล่วงหน้าให้ไปจากบุคคลผู้รับจ้างใช้การงานส่วนบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(8) ซึ่งมีอายุความ 2 ปีแต่อยู่ในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 28/2511)
ผู้แทนนิติบุคคลซึ่งแสดงเจตนาฟ้องคดีและแต่งตั้งทนายแทนนิติบุคคลในนามนิติบุคคลเป็นโจทก์นั้นเมื่อได้ลงชื่อแต่งทนายให้ดำเนินคดีโดยชอบแล้ว ทนายก็มีอำนาจดำเนินคดีไปตลอดจนมีอำนาจใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาดังที่ปรากฏในใบแต่งทนายแม้ผู้แทนนิติบุคคลนั้นจะถึงแก่ความตายไปแล้วก็ดี หรือฟ้องฎีกาของโจทก์ยังคงใช้ชื่อผู้แทนนิติบุคคลซึ่งถึงแก่ความตายในหน้าฟ้องก็ดีไม่ทำให้ฎีกาของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 851/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจปกครองมิซซังและการมอบอำนาจสัญญาเช่าที่ดิน: สิทธิของมิซซังในการฟ้องคดี
มิซซังโรมันคาธอลิคกรุงเทพฯมีฐานะเป็นนิติบุคคลและถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้(เพียง 2 อย่าง คือ ที่ดินที่ใช้เป็นวัดโรงเรือนตึกรามวัดบาดหลวง และที่ดินเพื่อทำประโยชน์ให้แก่มิซซัง)
ลักษณะสายการปกครองของมิซซัง ได้กำหนดไว้เป็นชั้นๆ ให้มีอำนาจปกครองลดหลั่นกันมาภายในขอบเขตที่กำหนด โดยมีสังฆราชมิซซังโรมันคาธอลิคกรุงเทพ ฯ ผู้ได้รับแต่งตั้งจากโป๊ปเป็นใหญ่ควบคุมทั้งหมด สังฆราชมอบอำนาจให้บิชอพภาคจันทบุรี บิชอพภาคจันทบุรีตั้งเจ้าอาวาสวัดบางปลาสร้อยให้มีอำนาจดูแลที่ดินของวัดได้ การที่เจ้าอาวาสวัดบางปลาสร้อยทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่ดินของวัด จึงเป็นการทำแทนสังฆราชมิซซังโรมันคาธอลิคกรุงเทพฯ รวมตลอดถึงการบอกเลิกสัญญาเช่าด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินการฟ้องคดีโดยไม่ชำระค่าธรรมเนียมศาล ส่งผลให้คดีถึงที่สุดและศาลไม่รับอุทธรณ์
การที่ศาลไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ และโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์สั่งยืนและว่าถ้าจะอุทธรณ์ให้วางเงินค่าธรรมเนียมภายใน 7 วันแต่โจทก์ไม่วางเงินค่าธรรมเนียม กลับฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับเพราะคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156โจทก์จึงกลับมาร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้รับฟ้องอุทธรณ์อีกศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนดังนี้กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา236 คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีและการแต่งทนายที่ไม่ถูกต้องตามข้อบังคับบริษัท ทำให้การดำเนินคดีเป็นโมฆะ
เมื่อข้อบังคับของบริษัทระบุว่า ในการลงชื่อทำการแทนบริษัทต้องมีกรรมการ 2 คนลงชื่อ แต่บริษัทโจทก์ฟ้องโดยมีกรรมการคนเดียวลงชื่อแต่งทนาย เมื่อจำเลยตัดฟ้องว่ากรรมการผู้เดียวไม่มีอำนาจ กรรมการสองคนของบริษัทโจทก์ยื่นคำร้องขอให้สัตยาบันการกระทำของทนายโจทก์และเพียงแต่ขอให้ศาลทราบไว้เท่านั้น ไม่แต่งทนายเข้ามาใหม่ให้ถูกต้อง อำนาจดำเนินคดีของทนายโจทก์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยกรรมการผู้เดียวยังคงบกพร่องไม่สมบูรณ์อยู่เช่นเดิม ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1272-1273/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสอบสวนของ ผบ.เรือและการฟ้องคดีนอกเขตอำนาจศาล
ผู้บังคับการเรืองแห่งราชนาวีไทยผู้กระทำการจับกุม หรือสั่งให้จับกุมคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาทำการประมงในเขตน่านน้ำไทยนั้น ย่อมเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และเป็นพนักงานสอบสวนคดีนั้นตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย 2482
ความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย 2482 ซึ่งฟ้องโจทก์บรรยายไว้ด้วยว่า พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่แห่งหนึ่งและผู้บังคับการเรือซึ่งจับกุมจำเลยเป็นผู้สอบสวนจำเลยแล้วเมื่อจำเลยมิได้ให้การคัดค้านเรื่องการสอบสวนนี้ หรืออำนาจศาลแต่อย่างใดเลย ดังนี้ เมื่อไม่ปรากฎโดยชัดแจ้งเป็นอย่างอื่น ก็ต้องฟังว่า การสอบสวนนั้นได้กระทำโดยชอบถูกต้องตามที่กล่าวในฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีภาษีโรงค้าก่อนได้รับการประเมินภาษีเป็นสิทธิที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อยังไม่มีการประเมินภาษี ผู้ที่จะต้องเสียภาษีจะนำคดีเกี่ยวกับภาษีนั้น มาฟ้องร้องต่อศาลทีเดียวไม่ได้ถือว่า ไม่ใช่กรณีจะฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 55

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1131/2487

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีโดยมีข้อความไม่ชัดเจนหรือเคลือบคลุม ทำให้การดำเนินคดีไม่เป็นไปตามแนวทางที่ถูกต้อง
ฟ้องว่านางเซ่งอู้มอบเงินให้นายไล้ซื้อผ้า แล้วจำเลยปลอมหนังสือใจความว่าให้นายไล้มอบผ้าหรือเงินให้แก่จำเลย โดยมิได้ระบุว่าปลอมหนังสือของผู้ใด ดังนี้ ถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากการตายของผู้อุปถัมภ์ การยื่นคำร้องสอดและการฟ้องคดีใหม่
โจทก์ร่วมทั้งสองบรรยายในคำร้องสอดว่า โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นบิดามารดา ส. จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเฉี่ยวชนกับรถยนต์กระบะที่ ส. ขับ เป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าว โจทก์ร่วมทั้งสองต้องขาดไร้อุปการะ โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี จึงยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (2) ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับค่าขาดไร้อุปการะดังที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสามตามคำขอท้ายฟ้อง เห็นได้ว่าโจทก์ร่วมทั้งสองบรรยายคำร้องว่า การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองขาดไร้อุปการะ จึงยื่นคำร้องสอดเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรองหรือบังคับตามสิทธิของตนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) ซึ่งมีผลเท่ากับโจทก์ร่วมทั้งสองได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีเรื่องใหม่ โดยไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์ทั้งสามแต่ประการใด แม้โจทก์ร่วมทั้งสองจะกล่าวในท้ายของคำร้องสอดว่า ขอให้พิพากษาให้โจทก์ร่วมทั้งสองมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะ ดังที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสามตามคำขอท้ายฟ้อง ก็มีความหมายเพียงว่า โจทก์ร่วมทั้งสองเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยทั้งสามเท่ากับที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้อง หาใช่โจทก์ร่วมทั้งสองไม่ได้เรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะในส่วนของโจทก์ร่วมทั้งสองแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ร่วมทั้งสองชอบแล้ว ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
of 4