พบผลลัพธ์ทั้งหมด 143 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3711/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเครื่องหมายการค้า: การใช้ก่อน การโอนสิทธิ และเจตนาของผู้โอน
โจทก์ได้จดทะเบียนบริษัทจำกัด ณ มลรัฐเดลาแวร์ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย ฮ.ประธานกรรมการโจทก์เป็นผู้ลงชื่อแต่งตั้งให้ จ.หรือ ว.เป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีในศาลจนสำเร็จ หนังสือฉบับนี้มี ซ.โนตารี่ปับลิกแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาลงชื่อและประทับตรารับรองว่าผู้มอบอำนาจเป็นประธานกรรมการบริษัทได้แสดงตนว่า บริษัทนี้ได้ทำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวตามกฎหมายหรือโดยมติคณะกรรมการ และมีการลงชื่อกับประทับตราสถานกงสุลใหญ่ประเทศไทยประจำนครลอสแองเจลิสไว้ด้วย ถือได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลและมอบอำนาจให้ จ.เป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์โดยชอบ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "EARTHQUAKE" กับสินค้าเครื่องเสียงของโจทก์จำหน่ายแพร่หลายทั้งต่างประเทศและในประเทศไทยมาก่อนที่จำเลยจะได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แม้การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "EARTHQUAKE" ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นการจดทะเบียนในนาม ล.ตั้งแต่ปี 2532 และต่อมา ล.โอนเครื่องหมายการค้านี้แก่โจทก์โดยไม่แน่ชัดว่าการโอนมีผลสมบูรณ์ก่อนโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้หรือไม่ก็ตาม แต่โจทก์ก็ใช้คำว่า "EARTHQUAKE"เป็นส่วนสำคัญของชื่อโจทก์ตลอดมา ทั้งที่อยู่ของ ล.ที่จดแจ้งลงในทะเบียนสำคัญเครื่องหมายการค้าก็เป็นที่เดียวกับสำนักงานของโจทก์ในปี 2532 และไม่ปรากฏว่าล.ใช้เครื่องหมายการค้านี้หรือโต้แย้งคัดค้านการใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์เลยแต่กลับยืนยันว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านี้และในที่สุดก็โอนเครื่องหมายการค้าให้โจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า ล.และโจทก์มีความประสงค์ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านี้ โจทก์จึงใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "EARTHQUAKE"กับสินค้าของโจทก์จนแพร่หลายตลอดมา เช่นนี้โจทก์ย่อมเป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมาย-การค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลย และเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้
โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "EARTHQUAKE" กับสินค้าเครื่องเสียงของโจทก์จำหน่ายแพร่หลายทั้งต่างประเทศและในประเทศไทยมาก่อนที่จำเลยจะได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แม้การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "EARTHQUAKE" ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นการจดทะเบียนในนาม ล.ตั้งแต่ปี 2532 และต่อมา ล.โอนเครื่องหมายการค้านี้แก่โจทก์โดยไม่แน่ชัดว่าการโอนมีผลสมบูรณ์ก่อนโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้หรือไม่ก็ตาม แต่โจทก์ก็ใช้คำว่า "EARTHQUAKE"เป็นส่วนสำคัญของชื่อโจทก์ตลอดมา ทั้งที่อยู่ของ ล.ที่จดแจ้งลงในทะเบียนสำคัญเครื่องหมายการค้าก็เป็นที่เดียวกับสำนักงานของโจทก์ในปี 2532 และไม่ปรากฏว่าล.ใช้เครื่องหมายการค้านี้หรือโต้แย้งคัดค้านการใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์เลยแต่กลับยืนยันว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านี้และในที่สุดก็โอนเครื่องหมายการค้าให้โจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า ล.และโจทก์มีความประสงค์ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านี้ โจทก์จึงใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "EARTHQUAKE"กับสินค้าของโจทก์จนแพร่หลายตลอดมา เช่นนี้โจทก์ย่อมเป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมาย-การค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลย และเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3362/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนเงินทุนเลี้ยงชีพเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพและการผูกพันตามข้อบังคับกองทุนหลังการยินยอมเป็นสมาชิก
แม้ก่อนมีการจดทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อโจทก์เกี่ยวกับเงินทุนเลี้ยงชีพ ซึ่งกำหนดว่า เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงในสิทธิและประโยชน์ ซึ่งพนักงานพึงได้รับตามความในหมวดนี้ ระเบียบการใด ๆ ของธนาคารจำเลยที่ 1 ซึ่งจะพึงมีขึ้นหรือแก้ไขเพิ่มเติมในภายหน้าจะใช้บังคับ เป็นผลให้เสื่อมสิทธิหรือประโยชน์ของพนักงานที่มีอยู่แล้วในวันวางระเบียบการใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมหาได้ไม่ และคงให้มีผลใช้บังคับได้นับแต่วันที่ได้วางระเบียบการใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้นก็ตาม แต่หลังจากจัดตั้งจำเลยที่ 2 ขึ้นแล้ว จำเลยที่ 1 ได้โอนเงินทุนเลี้ยงชีพเดิมของลูกจ้างทั้งหมดรวมทั้งโจทก์ไปให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการต่อไปตาม พ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพ.ศ.2530 และโจทก์ยินยอมเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของจำเลยที่ 2 ด้วยเท่ากับโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 โอนเงินทุนเลี้ยงชีพเดิมของโจทก์ไปให้จำเลยที่ 2ดำเนินการนั่นเอง จำเลยที่ 1 จึงหมดความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการเงินทุนเลี้ยงชีพเดิมอีกต่อไป แม้คำสั่งเรื่องระเบียบปฏิบัติงานของจำเลยที่ 2 ได้กำหนดให้ธนาคารจำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนแก่สมาชิกแต่ละรายในอัตราร้อยละ 10 ของเงินเดือนของสมาชิก ก็เป็นเพียงข้อตกลงให้จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนให้แก่สมาชิกเท่านั้น มิใช่ให้จำเลยที่ 1 เข้าไปจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินทุนเลี้ยงชีพเดิมให้แก่โจทก์
หลังจากจำเลยที่ 2 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว จำเลยที่ 2ได้รับโอนเงินทุนเลี้ยงชีพเดิมของลูกจ้างทั้งหมดของจำเลยที่ 1 รวมทั้งโจทก์ทั้งสองจากจำเลยที่ 1 มาเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้ว จำเลยที่ 2 ย่อมมีอำนาจและหน้าที่จัดการเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยการที่จำเลยที่ 2 ออกข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งจดทะเบียนแล้วใช้บังคับในการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ย่อมมีอำนาจทำได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2เคยมีข้อบังคับเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวใช้บังคับมาก่อน จึงมิใช่เป็นกรณีการออกข้อบังคับอันเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันสมาชิกของจำเลยที่ 2 โจทก์ยินยอมเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์ทั้งสองจึงต้องผูกพันตามข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าว แต่โจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอรับเงินภายในกำหนดเวลาตามข้อบังคับดังกล่าว ดังนั้น เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งหมดของโจทก์ ซึ่งได้แก่เงินทุนเลี้ยงชีพเดิมและเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเฉพาะส่วนที่เกิดขึ้นภายหลังจดทะเบียนจัดตั้งจำเลยที่ 2 จึงตกเป็นของกองทุนโดยถือว่าเป็นเงินอุทิศให้แก่กองทุน
หลังจากจำเลยที่ 2 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว จำเลยที่ 2ได้รับโอนเงินทุนเลี้ยงชีพเดิมของลูกจ้างทั้งหมดของจำเลยที่ 1 รวมทั้งโจทก์ทั้งสองจากจำเลยที่ 1 มาเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้ว จำเลยที่ 2 ย่อมมีอำนาจและหน้าที่จัดการเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยการที่จำเลยที่ 2 ออกข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งจดทะเบียนแล้วใช้บังคับในการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ย่อมมีอำนาจทำได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2เคยมีข้อบังคับเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวใช้บังคับมาก่อน จึงมิใช่เป็นกรณีการออกข้อบังคับอันเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันสมาชิกของจำเลยที่ 2 โจทก์ยินยอมเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์ทั้งสองจึงต้องผูกพันตามข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าว แต่โจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอรับเงินภายในกำหนดเวลาตามข้อบังคับดังกล่าว ดังนั้น เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งหมดของโจทก์ ซึ่งได้แก่เงินทุนเลี้ยงชีพเดิมและเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเฉพาะส่วนที่เกิดขึ้นภายหลังจดทะเบียนจัดตั้งจำเลยที่ 2 จึงตกเป็นของกองทุนโดยถือว่าเป็นเงินอุทิศให้แก่กองทุน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2348/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินสินสมรสก่อนล้มละลายและการเพิกถอนการโอน
จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ร.ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทอันเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 และ ร.จากชื่อ ร.มาเป็นของจำเลยที่ 1ในฐานะผู้จัดการมรดก และจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ร.ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นการโอนทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 รวมอยู่ด้วยครึ่งหนึ่ง และเมื่อเป็นการโอนภายใน 3 ปี ก่อนจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องให้ล้มละลายต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 114 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการโอนรายนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1037/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองใน ภ.บ.ท.5 มิใช่การผิดสัญญา หากผู้ซื้อไม่ยอมรับการโอน
โจทก์ได้ทำสัญญามัดจำซื้อขายที่ดินจำนวน 6 แปลง จากจำเลยในราคา 1,200,000 บาท โดยในวันดังกล่าวโจทก์ได้วางเงินมัดจำให้แก่จำเลยจำนวน 350,000 บาท และจะจัดการโอนที่ดินต่อเจ้าพนักงานภายในกำหนด6 เดือน นับแต่วันทำสัญญา ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าในขณะซื้อขายที่ดินพิพาทกันนั้นโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นการซื้อขายโดยการโอนเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองในหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ใบ ภ.บ.ท.5 โดยจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานและส่งมอบการครอบครองต่อกัน ดังนั้น ข้อความในสัญญามัดจำที่ว่า "คู่ความตกลงกันว่าจะได้ทำพิธีโอนกรรมสิทธิ์กันต่อเจ้าพนักงาน" จึงหมายถึงการโอนที่ดินพิพาทต่อกันโดยเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองในหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ใบ ภ.ท.บ.5 โดยแจ้งต่อเจ้าพนักงานและส่งมอบการครอบครองกันนั่นเอง ซึ่งจำเลยก็พร้อมที่จะโอนที่ดินพิพาทโดยวิธีดังกล่าวนี้แล้ว แต่โจทก์เป็นฝ่ายไม่ยอมรับโอน ฉะนั้นจำเลยจึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7255/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็ค – ผู้ทรงเช็ค – ความรับผิดของผู้สั่งจ่าย – การโอนเช็ค – ข้อต่อสู้ของผู้สั่งจ่าย
สำเนาภาพถ่ายเช็คและสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คเอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องของเช็คและใบคืนเช็คดังกล่าว เมื่อธนาคารตามเช็คที่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ย่อมถือได้ว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ที่ศาลดังกล่าวได้ ตามป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คตามฟ้องเพื่อชำระหนี้เงินยืมให้โจทก์ แล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับโดยระบุรายละเอียดของเช็คทุกฉบับพร้อมกับแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คและสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คมาท้ายฟ้องพร้อมทั้งคำขอบังคับ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ครบถ้วนแล้วส่วนมูลหนี้ตามเช็คจะเป็นการชำระหนี้สำหรับการกู้เงินครั้งใดเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลรับฟังเช็คและใบคืนเช็คตามฟ้องโดยไม่มีการสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดโดยโจทก์เพียงแต่ระบุว่าเป็นหนี้จากการกู้ยืมหาเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งหมดได้ไม่นั้น ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับฟ้องเคลือบคลุม แต่เป็นปัญหาว่าตามคำฟ้องและคำให้การจะมีประเด็นที่ต้องสืบพยานกันต่อไปหรือไม่ ไม่มีผลทำให้ฟ้องที่ไม่เคลือบคลุมนั้นเปลี่ยนแปลงไป
ฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้อง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธไว้ กลับให้การว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้บุคคลอื่น จึงฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท
เช็คตามฟ้องทุกฉบับเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดหรือสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 918เมื่อเช็คตามฟ้องตกมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ในฐานะผู้ถือ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คมาโดยไม่สุจริตแต่ประการใด เพราะจำเลยให้การแต่เพียงว่าโจทก์จะได้รับเช็คตามฟ้องมาอย่างไร จำเลยไม่ทราบย่อมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบว่าโจทก์ครอบครองเช็คมาโดยสุจริตหรือไม่จึงต้องฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 904 ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้แก่ ม.เป็นการชำระดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นโมฆะทั้งหมด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เป็นการยกข้อต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยผู้สั่งจ่ายกับ ม.ผู้ทรงคนก่อนแต่คำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คตามฟ้องจาก ม.ด้วยคบคิดกันฉ้อฉลกับโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีประเด็นจะนำสืบในข้อนี้ ดังนั้นจำเลยซึ่งลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งเป็นตั๋วเงินประเภทหนึ่งจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นในฐานะผู้สั่งจ่าย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 และ 914ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยนั้นชอบแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คตามฟ้องเพื่อชำระหนี้เงินยืมให้โจทก์ แล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับโดยระบุรายละเอียดของเช็คทุกฉบับพร้อมกับแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คและสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คมาท้ายฟ้องพร้อมทั้งคำขอบังคับ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ครบถ้วนแล้วส่วนมูลหนี้ตามเช็คจะเป็นการชำระหนี้สำหรับการกู้เงินครั้งใดเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลรับฟังเช็คและใบคืนเช็คตามฟ้องโดยไม่มีการสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดโดยโจทก์เพียงแต่ระบุว่าเป็นหนี้จากการกู้ยืมหาเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งหมดได้ไม่นั้น ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับฟ้องเคลือบคลุม แต่เป็นปัญหาว่าตามคำฟ้องและคำให้การจะมีประเด็นที่ต้องสืบพยานกันต่อไปหรือไม่ ไม่มีผลทำให้ฟ้องที่ไม่เคลือบคลุมนั้นเปลี่ยนแปลงไป
ฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้อง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธไว้ กลับให้การว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้บุคคลอื่น จึงฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท
เช็คตามฟ้องทุกฉบับเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดหรือสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 918เมื่อเช็คตามฟ้องตกมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ในฐานะผู้ถือ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คมาโดยไม่สุจริตแต่ประการใด เพราะจำเลยให้การแต่เพียงว่าโจทก์จะได้รับเช็คตามฟ้องมาอย่างไร จำเลยไม่ทราบย่อมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบว่าโจทก์ครอบครองเช็คมาโดยสุจริตหรือไม่จึงต้องฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 904 ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้แก่ ม.เป็นการชำระดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นโมฆะทั้งหมด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เป็นการยกข้อต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยผู้สั่งจ่ายกับ ม.ผู้ทรงคนก่อนแต่คำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คตามฟ้องจาก ม.ด้วยคบคิดกันฉ้อฉลกับโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีประเด็นจะนำสืบในข้อนี้ ดังนั้นจำเลยซึ่งลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งเป็นตั๋วเงินประเภทหนึ่งจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นในฐานะผู้สั่งจ่าย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 และ 914ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยนั้นชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6005/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนเช็คที่ถูกลักไป: สิทธิของผู้ทรงเช็คและการปฏิเสธการจ่ายเงิน
จำเลยให้การเพียงว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ จ.ต่อมาจ.ทำเช็คพิพาทหายไป จึงไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจและจำเลยได้แจ้งอายัดเช็คต่อธนาคารไว้ ต่อมา จ.ทราบว่าเช็คพิพาทถูกลักไปและอยู่ที่โจทก์ จ.แจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์รับว่าจะคืนเช็คให้ แต่กลับนำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ดังนี้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าขณะที่โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมานั้นโจทก์รู้ว่าเป็นเช็คที่ถูกลักมาหรือโจทก์ได้มาโดยทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอย่างไร เป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาโดยทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงที่จะต้องสละเช็คพิพาทนั้น ตาม ป.พ.พ.มาตรา 905 วรรคสองและวรรคสาม จึงไม่มีเหตุที่จะให้รับฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6005/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนเช็คที่ถูกลักไป ผู้รับโอนต้องแสดงว่าได้รับโอนมาโดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่อ
จำเลยให้การเพียงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้จ.ต่อมาจ.ทำเช็คพิพาทหายไปจึงไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจและจำเลยได้แจ้งอายัดเช็คต่อธนาคารไว้ต่อมาจ.ทราบว่าเช็คพิพาทถูกลักไปและอยู่ที่โจทก์จ.แจ้งให้โจทก์ทราบโจทก์รับว่าจะคืนเช็คให้แต่กลับนำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตดังนี้คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าขณะที่โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมานั้นโจทก์รู้ว่าเป็นเช็คที่ถูกลักมาหรือโจทก์ได้มาโดยทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอย่างไรเป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธโดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองไม่ก่อให้เกิดประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาโดยทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงที่จะต้องสละเช็คพิพาทนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา905วรรคสองและวรรคสามจึงไม่มีเหตุที่จะให้รับฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5936/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิครอบครองที่ดินโดยการส่งมอบการครอบครอง และผลกระทบต่อการจัดการมรดก
ม. ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ขายที่ดินให้ผู้คัดค้านทั้งสองและได้ส่งมอบการครอบครองให้แล้วผู้คัดค้านทั้งสองย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองโดยมิต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อ ม.ตายก็ไม่มีสิทธิครอบครองหรือทรัพย์สินดังกล่าวเป็นมรดกที่ต้องจัดการอีกต่อไป ม. ไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมที่จะต้องจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสองจึงไม่จำต้องมีการตั้งผู้จัดการมรดกของ ม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2280/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนมรดก: สิทธิฟ้องแทนและผลกระทบต่อบุคคลภายนอก
ห.เป็นบุตรจำเลยกับ อ. โจทก์ฟ้องคดีนี้ให้ ห.กับพวกโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยโอนที่ดินส่วนที่เป็นมรดกของ อ.ให้นางอำนวยเพียงผู้เดียวไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยมิใช่ผู้จัดการมรดกขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นมรดกของ อ.คืนให้กองมรดกเป็นการกล่าวอ้างว่านางอำนวยมีส่วนร่วมกับจำเลยกระทำการโต้แย้งสิทธิ ห.กับพวก โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยแทน ห.กับพวกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1562ประกอบ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2521 มาตรา 5 (1)โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องนางอำนวยได้ด้วยเพราะมูลคดีเกี่ยวข้องกัน เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องนางอำนวยมาด้วยศาลจึงไม่อาจพิพากษาคดีให้มีผลไปถึงนางอำนวยผู้รับโอนที่ดินซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2280/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนมรดกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผลกระทบต่อบุคคลภายนอกผู้รับโอน
ห.เป็นบุตรจำเลยกับ อ. โจทก์ฟ้องคดีนี้ให้ ห.กับพวกโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยโอนที่ดินส่วนที่เป็นมรดกของ อ.ให้นาง อำนวยเพียงผู้เดียวไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยมิใช่ผู้จัดการมรดกขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นมรดกของ อ.คืนให้กองมรดกเป็นการกล่าวอ้างว่านาง อำนวยมีส่วนร่วมกับจำเลยกระทำการโต้แย้งสิทธิ ห.กับพวกโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยแทน ห.กับพวกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1562ประกอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการพ.ศ.2521มาตรา5(1)โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องนาง อำนวยได้ด้วยเพราะมูลคดีเกี่ยวข้องกันเมื่อโจทก์ไม่ฟ้องนาง อำนวยมาด้วยศาลจึงไม่อาจพิพากษาคดีให้มีผลไปถึงนาง อำนวยผู้รับโอนที่ดินซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145