คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ขับรถประมาท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4461/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาจากการขับรถประมาท และอำนาจโจทก์ร่วมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การที่ผู้ตายและจำเลยต่างขับรถด้วยความเร็วและต่างขับรถเข้าไปในช่องเดินรถของอีกฝ่ายหนึ่งฟังได้ว่าขับรถโดยประมาททั้งสองฝ่ายเมื่อผู้ตายมีส่วนกระทำผิดด้วยผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(4)โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามมาตรา5(2)ไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามมาตรา30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7987/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานขับรถประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และหลบหนีไม่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปโดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บตามสมควรทั้งไม่ได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีก็ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฎว่าการที่จำเลยหลบหนีไม่ทำการช่วยเหลือหรือแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา160วรรคสองคงเป็นความผิดตามมาตรา160วรรคหนึ่งเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5069/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากการขับรถประมาท และค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง
จำเลยขับรถยนต์เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ที่ 1 นั่งซ้อนท้ายศาลแขวงเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย โจทก์ที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัส และทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหาย คดีถึงที่สุดแล้ว ข้อเท็จจริงคดีนี้จึงต้องฟังว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อเพราะเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จำเลยจะฎีกาโต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่ออีกไม่ได้ เมื่อจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ที่ 1 เสียหายแก่ร่างกาย จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน การที่ผู้ขับรถจักรยานยนต์ให้โจทก์ที่ 1 นั่งซ้อนท้ายไปจะประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ หาทำให้จำเลยพ้นความรับผิดไม่
ค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 2 ต้องส่งเสียเลี้ยงดูและให้การศึกษาเล่าเรียนแก่โจทก์ที่ 1 ซ้ำอีก 1 ปี จำนวนเงิน 40,000 บาทนั้น โจทก์ที่ 1 ขาดเรียนเพราะต้องรักษาบาดแผลจนต้องสมัครใจเรียนซ้ำชั้น เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย ค่าเสียหายส่วนนี้จำเลยจึงต้องรับผิด
แม้โจทก์ที่ 2 เป็นข้าราชการมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลในส่วนของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรก็ตาม สิทธิดังกล่าวก็เป็นสิทธิที่รัฐกำหนดให้แก่ข้าราชการ ไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลย โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิเรียกร้องเอาค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยผู้ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดได้อีก
ค่าผ่าตัดเอาเหล็กที่ดามออกแม้จะเป็นค่าเสียหายในอนาคตแต่ก็เป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในอนาคตที่แน่นอน โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายส่วนนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5724/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานประกอบการวินิจฉัยความรับผิดในคดีขับรถประมาท และการรับฟังคำให้การชั้นสอบสวน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ง. ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้ตายได้รับอันตรายสาหัส ง. จะต้องเปิดประตูรถยนต์ออกมาเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ส่วนจำเลยได้รับอันตรายสาหัสและเมาสุราจำเลยจะต้องออกจากรถยนต์หลังจากที่ ง. ออกมาจากรถยนต์ก่อนแล้วเป็นการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยอาศัยหลักเหตุผลที่ว่าบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บมากย่อมจะต้องออกมาจากรถยนต์ช้ากว่าบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย จึงเป็นการชอบด้วยการรับฟังพยานหลักฐานแล้วหาเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากพยานหลักฐานในสำนวนไม่ คำให้การชั้นสอบสวนไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาลแต่ประการใด เมื่อปรากฏว่า ส.ให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุไม่นานและ ส. เป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จึงน่าเชื่อว่า ส. ให้การไปตามความจริงที่รู้เห็นมา ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์รับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของ ส. ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ นั้น จึงหาเป็นการขัดต่อกฎหมายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2674/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขับรถประมาททำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัสถึงแก่ชีวิต จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
จำเลยขับรถแซงรถคันหน้าขึ้นไปทางขวามือล้ำเข้าไปแล่นในช่องทางเดินรถของรถที่จะแล่นสวนทางมา เมื่อมีรถแล่นสวนทางมาแทนที่จำเลยจะชะลอความเร็วของรถลงเพื่อให้รถคันหน้าแล่นล้ำหน้าไปก่อน แล้วจึงค่อยบังคับรถหลบรถที่สวนมาเข้าช่องเดินรถของจำเลยตามปกติทางด้านซ้ายมือ จำเลยกลับบังคับรถหลบไปยังขอบทางด้านขวาเป็นเหตุให้รถพุ่งชนกองหินข้างทางจนพลิกคว่ำ ทำให้โจทก์ซึ่งโดยสารรถมาบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมาการขับรถของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการขับรถด้วยความประมาทก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1746/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฟ้องเพิ่มข้อหาขับรถประมาทจนผู้อื่นถึงแก่ความตาย และการรับสารภาพที่ผูกพันตามกฎหมาย
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า ผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ขอให้ลงโทษฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 โดยมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนเพิ่มเติมมาท้ายฎีกาด้วยว่า เมื่อโจทก์ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเป็นผลสืบเนื่องจากการขับโดยประมาทของจำเลย โจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ 10 มกราคม 2534 และแจ้งข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเพิ่มเติมจากที่ได้ทำการสอบสวนไว้แล้วแก่จำเลย และจำเลยได้ทราบข้อหาแล้วปรากฏตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมลงวันที่ 15 มกราคม 2534 กรณีจึงมีเหตุอันควร โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ได้ และศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้
เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องดังกล่าวข้างต้นแล้วจำเลยจะฎีกาว่าผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยโรคประจำตัว มิใช่เกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ทั้งจำเลยมิได้ขับรถโดยประมาท แต่เหตุเกิดขึ้นเพราะความผิดของฝ่ายผู้ตายเองหาได้ไม่เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพไว้แล้ว ทั้งยังเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1746/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฟ้องเพิ่มข้อหาขับรถประมาทจนถึงแก่ความตาย และการโต้แย้งข้อเท็จจริงหลังรับสารภาพ
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า ผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ขอให้ลงโทษฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 โดยมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนเพิ่มเติมมาท้ายฎีกาด้วยว่า เมื่อโจทก์ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเป็นผลสืบเนื่องจากการขับโดยประมาทของจำเลยโจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ 10 มกราคม 2534 และแจ้งข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เพิ่มเติมจากที่ได้ทำการสอบสวนไว้แล้วแก่จำเลย และจำเลยได้ทราบข้อหาแล้วปรากฏตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมลงวันที่ 15 มกราคม 2534กรณีจึงมีเหตุอันควร โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ได้ และศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยจะฎีกาว่าผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยโรคประจำตัวมิใช่เกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ทั้งจำเลยมิได้ขับรถโดยประมาท แต่เหตุเกิดขึ้นเพราะความผิดของฝ่ายผู้ตายเองหาได้ไม่เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพไว้แล้วทั้งยังเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาจากการขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และประเด็นการหลบหนีไม่ช่วยเหลือ
จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ จำเลยแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งมายังที่เกิดเหตุทราบว่าจำเลยเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุ และมีผู้อื่นนำส่งผู้บาดเจ็บไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว แม้ต่อมาจำเลยหลบหนีไปก็จะถือว่าจำเลยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ตายและผู้บาดเจ็บกับไม่ได้แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันทีไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5478/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสมควรรอการลงโทษในคดีขับรถประมาทถึงแก่ความตาย แม้ชดใช้ค่าเสียหายหลังศาลตัดสิน
แม้จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดาของผู้ตาย ภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ก็ยังถือได้ว่าเป็นเหตุอันควรปรานี ทั้งผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาแก่จำเลย และจำเลยรับราชการเป็นนายทหารสัญญาบัตร จึงควรให้โอกาสจำเลยโดยลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5017/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องค่าเสียหายจากลูกจ้างขับรถประมาท: เริ่มนับแต่วันเกิดเหตุ ไม่ใช่วันจ่ายค่าซ่อม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ในตำแหน่งพนักงานขับรถมีหน้าที่ขับรถยนต์โดยสารประจำทางรับส่งผู้โดยสาร จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างโดยขับรถด้วยความประมาททำให้รถของโจทก์รถของบุคคลอื่นเสียหายและทำให้บุคคลอื่นได้รับบาดเจ็บ ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายที่รถของโจทก์ถูกเฉี่ยวชนและชดใช้เงินที่โจทก์ใช้เป็นค่าเสียหายแก่บุคคลอื่นให้แก่โจทก์ ตามคำฟ้องดังกล่าวนอกจากจะเป็นฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิดเนื่องจากกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของโจทก์เสียหายแล้วยังเป็นฟ้องที่อ้างว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างกระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้อง เป็นการทำผิดหน้าที่ที่จำเลยจะต้องกระทำตามสัญญาจ้างแรงงาน อันเป็นฟ้องที่ขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาจ้างแรงงานด้วย ซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้ทั้งสองประการแม้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องตามสัญญาจ้างแรงงานที่มีอายุความ 10 ปีแต่เงินค่าซ่อมรถของโจทก์ที่โจทก์เสียไปถือได้ว่าเป็นค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์อาจเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ได้นับแต่วันเกิดเหตุ ซึ่งเป็นวันที่ก่อให้เกิดความเสียหายอันเป็นขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่นั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่โจทก์จ่ายค่าซ่อมรถให้แก่ผู้รับจ้างซ่อม เมื่อนับแต่วันเกิดเหตุถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ.
of 9