พบผลลัพธ์ทั้งหมด 122 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1677/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฝากยาเสพติดเพื่อส่งมอบเข้าข่ายความผิดฐานขาย แม้ไม่มีเจตนาจำหน่ายโดยตรง ศาลแก้ไขโทษจำคุกให้เหมาะสม
บันทึกการจับกุมผู้ต้องหาเป็นบันทึกที่เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำขึ้นภายหลังที่ได้มีการจับกุมจำเลยแล้ว บันทึกการจับกุมจึงเป็นหลักฐานในการสอบสวนคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(11) ซึ่งไม่ได้มีบทบังคับว่าต้องทำอย่างไร เมื่อบันทึกการจับกุมมีร่องรอยการแก้ไขตกเติม ก็ไม่ทำให้บันทึกการจับกุมนั้นเป็นอันเสียไปหรือใช้ไม่ได้ การที่จำเลยลงนามในบันทึกดังกล่าวโดยมิได้โต้แย้งและมิได้ซักค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับบันทึกการจับกุมให้เห็นเป็นอย่างอื่น ทำให้คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ปรากฏในบันทึกการจับกุมนั้นรับฟังเป็นพยานได้ส่วนคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนนั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ซักค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับคำให้การดังกล่าวแต่อย่างใดเมื่อจำเลยลงนามในคำให้การชั้นสอบสวนโดยมิได้ถูกขู่เข็ญบังคับหรือโดยมิชอบด้วยประการอื่น ศาลย่อมรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นพยานได้ การที่จำเลยรับฝากเมทแอมเฟตามีนจาก ด. เพื่อนำไปให้ว.นั้นเป็นเรื่องที่จำเลยรับมาเพื่อส่งมอบให้แก่ว.การกระทำของจำเลยจึงเป็นการขาย ตามมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518ซึ่งบัญญัติว่า "ขาย" หมายความรวมถึงจำหน่าย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5651/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบทรัพย์ให้ขาย กับ ความผิดฐานยักยอก: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่ความผิดอาญา
โจทก์ร่วมได้มอบทรัพย์แก่จำเลยเพื่อให้จำเลยนำไปขาย โดยจำเลยจะกำหนดราคาขายมากหรือน้อยหรือจะจัดการแก่ทรัพย์ นั้นอย่างไรก็ได้ จำเลยเพียงแต่มีหน้าที่ต้องนำเงินตามราคา ที่โจทก์ร่วมกำหนดไว้หรือนำทรัพย์สินมาคืนแก่โจทก์ร่วมเท่านั้น การที่จำเลยไม่ยอมนำทรัพย์ตามฟ้องมาคืนหรือมอบเงินแก่ โจทก์ร่วมถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาทางแพ่งต่อโจทก์ร่วม เท่านั้น ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4490/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขาย แม้ยังไม่ได้ส่งมอบ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ฯ
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขายให้แก่สายลับ โดยขณะจำเลยถูกจับจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ก็เพื่อขายให้แก่สายลับตามที่จำเลยได้รับเงินค่าเมทแอมเฟตามีนจากสายลับไปแล้วนั่นเอง แม้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนแก่สายลับก็มีผลไม่แตกต่างกัน เนื่องจากคำว่า ขาย รวมความหมายถึง จำหน่ายจ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขายด้วย ตามคำจำกัดความของมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สายลับขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย จำเลยรับเงินแล้วแต่ยังไม่ได้มอบเมทแอมเฟตามีนแก่สายลับเนื่องจากขณะนั้นจำเลยไม่มีเมทแอมเฟตามีนขายให้การขายจึงยังไม่เกิดขึ้น ฟังไม่ได้ว่าจำเลยขายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องนั้นย่อมเป็นการไม่ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2466/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะจากการเลิกกิจการและการขายทรัพย์สิน
ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 77/1(8)(ฉ) "ขาย" หมายความว่าจำหน่าย จ่าย โอนสินค้าไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่ และให้หมายความรวมถึงมีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณวันเลิกประกอบกิจการ ดังนั้น ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เลิกประกอบกิจการจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าคงเหลือหรือทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกประกอบกิจการตามมาตราดังกล่าวซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อเลิกประกอบกิจการหรือแจ้งเลิกประกอบกิจการการที่โจทก์ขายทรัพย์สินที่โจทก์มีไว้ในการประกอบกิจการไปเป็นเงิน 305,500 บาทนั้น ถือว่าเป็นการขายตามมาตราดังกล่าวแล้ว จึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย ทั้งนี้แม้ว่ากิจการของโจทก์ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามป.รัษฎากร มาตรา 81(1)(ข) ก็ตาม แต่เมื่อการขายทรัพย์สินดังกล่าวของโจทก์เป็นการขายทรัพย์สินที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มโจทก์ก็ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 91/2(6) บัญญัติให้การประกอบกิจการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม ทั้งนี้เฉพาะที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่กำหนดโดย พ.ร.ฎ.และ พ.ร.ฎ.ออกตามความใน ป.รัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร(ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 มาตรา 3(5) ได้กำหนดให้การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการ แต่ไม่รวมถึงที่ดินที่ผู้นั้นใช้ในการเกษตรกรรมเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร เมื่อปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์ขายไปนั้นเป็นที่ดินที่ใช้ในการเกษตรกรรม ดังนั้น การขายที่ดินที่โจทก์มีไว้ในการประกอบการเกษตรกรรมซึ่งเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 3(5) แห่ง พ.ร.ฎ.ฉบับดังกล่าว จึงย่อมได้รับยกเว้นไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่พ.ร.ฎ.ดังกล่าวยกเว้นให้เฉพาะที่ดินเท่านั้น ไม่รวมถึงอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างเมื่อโจทก์ขายที่ดินรวมทั้งอาคารบนที่ดินนั้น การขายเช่นนี้โจทก์จึงต้องนำรายรับของราคาอาคารมาเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 91/2(6) บัญญัติให้การประกอบกิจการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม ทั้งนี้เฉพาะที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่กำหนดโดย พ.ร.ฎ.และ พ.ร.ฎ.ออกตามความใน ป.รัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร(ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 มาตรา 3(5) ได้กำหนดให้การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการ แต่ไม่รวมถึงที่ดินที่ผู้นั้นใช้ในการเกษตรกรรมเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร เมื่อปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์ขายไปนั้นเป็นที่ดินที่ใช้ในการเกษตรกรรม ดังนั้น การขายที่ดินที่โจทก์มีไว้ในการประกอบการเกษตรกรรมซึ่งเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 3(5) แห่ง พ.ร.ฎ.ฉบับดังกล่าว จึงย่อมได้รับยกเว้นไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่พ.ร.ฎ.ดังกล่าวยกเว้นให้เฉพาะที่ดินเท่านั้น ไม่รวมถึงอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างเมื่อโจทก์ขายที่ดินรวมทั้งอาคารบนที่ดินนั้น การขายเช่นนี้โจทก์จึงต้องนำรายรับของราคาอาคารมาเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 706/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงจากการขายที่ดินเท็จ: การแสดงข้อความเท็จเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินและการหลอกลวงให้ซื้อขาย
จำเลยที่2กับพวกคงมีแต่สำเนานส.3กที่ถ่ายมาจากที่ทางราชการเก็บรักษาไว้เท่านั้นโดยยังมิได้มีการรวบรวมซื้อที่ดินจากชาวบ้านเพื่อนำมาขายให้โจทก์ร่วมดังนั้นแม้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจะระบุข้อความในอนาคตว่าจำเลยกับพวกจะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ซื้อขายภายใน1ถึง3เดือนนับแต่โจทก์ร่วมชำระมัดจำครบแต่ตามข้อความในเอกสารดังกล่าวมีความว่าขณะทำสัญญาจำเลยกับพวกมีสิทธิในที่ดินที่จะนำมาขายให้โจทก์ร่วมเป็นการแสดงข้อความในปัจจุบันอยู่ด้วยเมื่อข้อความดังกล่าวเป็นเท็จโดยความจริงจำเลยกับพวกมิได้ตั้งใจจะขายสิทธิในที่ดินให้โจทก์ร่วมโจทก์ร่วมหลงเชื่อจำเลยกับพวกในการแสดงข้อความเท็จและจ่ายเงินมัดจำให้ไปการกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา341 จำเลยที่1รู้จักกับโจทก์ร่วมมาก่อนเป็นผู้ติดต่อพาโจทก์ร่วมไปดูที่ดินจนโจทก์ร่วมตกลงทำสัญญาวางมัดจำและทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทประกอบกับขณะจะทำสัญญาซื้อขายจำเลยที่1ไม่ยอมให้โจทก์ร่วมดูสัญญาซื้อขายที่ฝ่ายจำเลยทั้งสองอวดอ้างว่าได้ทำไว้กับชาวบ้านแล้วแสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีเจตนาทุจริตหลอกลวงขายที่ดินให้โจทก์ร่วมโดยแบ่งหน้าที่กันทำจึงเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4463/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจกยาเสพติดถือเป็นการ 'ขาย' ตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท แม้ไม่ได้มีเจตนาค้าขาย
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518มาตรา 4 ได้ให้คำนิยามของคำว่า "ขาย" ให้หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขาย เห็นได้ว่าการขายเมทแอมเฟตามีนตามบทบัญญัติดังกล่าวหาได้มีความหมายเฉพาะการขายกันโดยตรงเท่านั้นไม่ การจ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบแก่กันไม่ว่าจะกระทำในลักษณะอย่างไรและโดยจุดประสงค์ใดจะเป็นเพื่อการค้าหรือไม่ ก็อยู่ในความหมายของคำว่า"ขาย" ตามมาตรา 4 นี้ทั้งสิ้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อแจกแก่ลูกน้อง การ "แจก" หรือ การ "ขาย" การมีไว้เพื่อ "แจก" ก็คือการมีไว้เพื่อ "ขาย" หรือเพื่อจำหน่าย จำเลยจึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขาย จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพียง 3 เม็ด ไม่น่าจะมีปริมาณเกิน 0.500 กรัมตามที่รัฐมนตรีกำหนดนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้พิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา13 ทวิวรรคหนึ่ง,89 เพียงกรรมเดียวบทเดียว ไม่ได้พิพากษาลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเกินประมาณที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง,106ทวิ ด้วยแต่ประการใดจึงมิใช่เป็นฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในความผิดดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4463/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจกยาเสพติดถือเป็นการ 'ขาย' ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ แม้ไม่ใช่การซื้อขายโดยตรง
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา4ได้ให้คำนิยามของคำว่า"ขาย"ให้หมายความรวมถึงจำหน่ายจ่ายแจกแลกเปลี่ยนส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขายเห็นได้ว่าการขายเมทแอมเฟตามีนตามบทบัญญัติดังกล่าวหาได้มีความหมายเฉพาะการขายกันโดยตรงเท่านั้นไม่การจ่ายแจกแลกเปลี่ยนส่งมอบแก่กันไม่ว่าจะกระทำในลักษณะอย่างไรและโดยจุดประสงค์ใดจะเป็นเพื่อการค้าหรือไม่ก็อยู่ในความหมายของคำว่า"ขาย"ตามมาตรา4นี้ทั้งสิ้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อแจกแก่ลูกน้องการ"แจก"หรือการ"ขาย"การมีไว้เพื่อ"แจก"ก็คือการมีไว้เพื่อ"ขาย"หรือเพื่อจำหน่ายจำเลยจึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขาย จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพียง3เม็ดไม่น่าจะมีปริมาณเกิน0.500กรัมตามที่รัฐมนตรีกำหนดนั้นศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษาแก้พิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา13ทวิวรรคหนึ่ง,89เพียงกรรมเดียวบทเดียวไม่ได้พิพากษาลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเกินประมาณที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา62วรรคหนึ่ง,106ทวิด้วยแต่ประการใดจึงมิใช่เป็นฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3ในความผิดดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายและมีไว้เพื่อขายยาเสพติดเป็นกรรมเดียว แม้จะพบยาเพิ่มเติมจากการตรวจค้น
การขายหรือมีไว้เพื่อขายตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯมาตรา4เป็นความผิดอย่างเดียวกันจำเลยขายเมทแอมเฟตามีนผสมกับ อีเฟดรีนแก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้ล่อซื้อ20เม็ดและทันใดในเวลาต่อเนื่องกันเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นพบได้จากจำเลยอีก116เม็ด เมทแอมเฟตามีนผสมกับ อีเฟดรีนทั้ง136เม็ดจึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกันเป็นความผิด กรรมเดียวคือการขาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9165/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เมทแอมเฟตามีนครอบครอง-ขายกรรมเดียว: ศาลฎีกายกวินิจฉัยประเด็นความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา
หลังจากสายลับได้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน 8 เม็ด จากจำเลยแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจได้เข้าไปตรวจค้นบ้านจำเลยพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 3 เม็ด ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ทั้งเมทแอมเฟตามีนจำนวน 8 เม็ด และ 3 เม็ด ไม่ปรากฏว่าต่างชนิดกัน และมีน้ำหนักใกล้เคียงกันจึงฟังได้ว่า เมทแอมเฟตามีนทั้ง 11 เม็ดเป็นจำนวนเดียวกัน การที่จำเลยมีเมทแอม-เฟตามีนจำนวน 3 เม็ด ในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกับที่จำเลยขายเมทแอม-เฟตามีนจำนวน 8 เม็ดไปนั้น ตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน3 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อขายนั่นเอง ซึ่งการขายหรือมีไว้เพื่อขายเป็นความผิดอย่างเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวคือการขาย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9165/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายและครอบครองยาเสพติดเป็นกรรมเดียว ศาลฎีกายกประเด็นกฎหมายเพื่อวินิจฉัยเอง
หลังจากสายลับได้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน8เม็ดจากจำเลยแล้วเจ้าพนักงานตำรวจได้เข้าไปตรวจค้นบ้านจำเลยพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน3เม็ดซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันมาโดยตลอดทั้งเมทแอมเฟตามีนจำนวน8เม็ดและ3เม็ดไม่ปรากฏว่าต่างชนิดกันและมีน้ำหนักใกล้เคียงกันจึงฟังได้ว่าเมทแอมเฟตามีนทั้ง11เม็ดเป็นจำนวนเดียวกันการที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน3เม็ดในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกับที่จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน8เม็ดไปนั้นตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน3เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อขายนั่นเองซึ่งการขายหรือมีไว้เพื่อขายเป็นความผิดอย่างเดียวกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวคือการขายปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกามีอำนาจเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195วรรคสองประกอบด้วยมาตรา225