พบผลลัพธ์ทั้งหมด 38 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2554/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถบรรทุกที่ใช้ขนดินลูกรังจากการขุดดินในที่ดินหวงห้าม
จำเลยขุดตักและขนดินลูกรังในที่ดินหวงห้ามของรัฐอันเป็นการทำลาย ทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ที่หิน ที่กรวดที่ทราย และเป็นอันตรายแก่ทรัพยากร ในที่ดินตามมาตรา 9(2),(3) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน รถยนต์บรรทุกที่ จำเลย ใช้ขนดินลูกรังที่ถูกขุดตักไปถือว่าเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้เป็น อุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดดังกล่าวจึงต้องริบตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขุดดินในที่ดินเช่า: สภาพทรัพย์เปลี่ยนจากอสังหาริมทรัพย์เป็นสังหาริมทรัพย์ ทำให้ผู้เช่ามีความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ทำไร่ แล้วจำเลยขุดเอาดินจากที่ดินนั้นไปขายโดยทุจริต จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ผิดฐานยักยอก เพราะการเช่าที่ดินนั้น ผู้ให้เช่าให้เช่าทรัพย์สินในสภาพที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อที่ดินถูกขุดขึ้นมาแล้วย่อมเปลี่ยนสภาพเป็นสังหาริมทรัพย์ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เช่า ดินที่ถูกขุดขึ้นมาจึงคงอยู่ในความครอบครองของผู้ให้เช่า (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2527)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2474/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขุดดินใกล้ที่ดิน neighbor ทำให้ดินถล่ม จำเลยต้องรับผิดชอบป้องกันความเสียหาย แม้มีฝนตกหนักก็อ้างเหตุสุดวิสัยไม่ได้
การที่จำเลยขุดดินห่างจากแนวเขตที่ดินของโจทก์เพียง 1 เมตรลึกเกินสมควรจนเต็มเนื้อที่ เป็นเหตุให้ที่ดินโจทก์พังทลาย เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1343 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยจึงต้องรับผิดจัดการป้องกันความเสียหายเพื่อไม่ให้ที่ดินของโจทก์พังทลายต่อไป
จำเลยอ้างว่ามีฝนตกหนักและน้ำท่วมมากเป็นเหตุให้แนวเขตที่ดินพัง อันเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะป้องกันได้ แต่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีก่อน จ.ผู้เช่าที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่งฟ้อง พ. กับจำเลยที่ 1 คดีนี้ขอให้ใช้ค่าเสียหายที่ขุดดินทำให้บ่อปลาของ จ.เสียหาย แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้จัดการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินของโจทก์คนละแปลงกับที่ดินที่ให้ จ.เช่าเป็นคนละกรณีกัน ทั้งโจทก์ก็มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนร่วมกับ จ.ด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจัดการป้องกันความเสียหายอันเกิดแก่ความอยู่มั่นแห่งที่ดินของโจทก์ ที่ติดต่อกับที่ดินที่จำเลยขุด มิใช่เรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดโดยตรง. จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
จำเลยอ้างว่ามีฝนตกหนักและน้ำท่วมมากเป็นเหตุให้แนวเขตที่ดินพัง อันเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะป้องกันได้ แต่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีก่อน จ.ผู้เช่าที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่งฟ้อง พ. กับจำเลยที่ 1 คดีนี้ขอให้ใช้ค่าเสียหายที่ขุดดินทำให้บ่อปลาของ จ.เสียหาย แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้จัดการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินของโจทก์คนละแปลงกับที่ดินที่ให้ จ.เช่าเป็นคนละกรณีกัน ทั้งโจทก์ก็มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนร่วมกับ จ.ด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจัดการป้องกันความเสียหายอันเกิดแก่ความอยู่มั่นแห่งที่ดินของโจทก์ ที่ติดต่อกับที่ดินที่จำเลยขุด มิใช่เรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดโดยตรง. จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2474/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขุดดินใกล้เขตที่ดินของผู้อื่นจนทำให้ที่ดินเสียหาย เป็นละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การที่จำเลยขุดดินห่างจากแนวเขตที่ดินของโจทก์เพียง 1เมตร ลึกเกินสมควรจนเต็มเนื้อที่ เป็นเหตุให้ที่ดินโจทก์พังทลาย เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1343 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยจึงต้องรับผิดจัดการป้องกันความเสียหายเพื่อไม่ให้ที่ดินของโจทก์พังทลายต่อไป
จำเลยอ้างว่ามีฝนตกหนักและน้ำท่วมมากเป็นเหตุให้แนวเขตที่ดินพัง อันเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะป้องกันได้ แต่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีก่อน จ.ผู้เช่าที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่งฟ้อง พ. กับจำเลยที่ 1 คดีนี้ขอให้ใช้ค่าเสียหายที่ขุดดินทำให้บ่อปลาของ จ.เสียหาย แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้จัดการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินของโจทก์คนละแปลงกับที่ดินที่ให้ จ.เช่าเป็นคนละกรณีกัน ทั้งโจทก์ก็มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนร่วมกับจ.ด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจัดการป้องกันความเสียหายอันเกิดแก่ความอยู่มั่น แห่งที่ดินของโจทก์ ที่ติดต่อกับที่ดินที่จำเลยขุด มิใช่เรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดโดยตรง. จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
จำเลยอ้างว่ามีฝนตกหนักและน้ำท่วมมากเป็นเหตุให้แนวเขตที่ดินพัง อันเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะป้องกันได้ แต่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีก่อน จ.ผู้เช่าที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่งฟ้อง พ. กับจำเลยที่ 1 คดีนี้ขอให้ใช้ค่าเสียหายที่ขุดดินทำให้บ่อปลาของ จ.เสียหาย แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้จัดการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินของโจทก์คนละแปลงกับที่ดินที่ให้ จ.เช่าเป็นคนละกรณีกัน ทั้งโจทก์ก็มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนร่วมกับจ.ด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจัดการป้องกันความเสียหายอันเกิดแก่ความอยู่มั่น แห่งที่ดินของโจทก์ ที่ติดต่อกับที่ดินที่จำเลยขุด มิใช่เรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดโดยตรง. จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3747/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดครองป่าสงวนต่อเนื่อง: การขุดดินทำคันนาไม่ใช่การทำลายป่าใหม่
จำเลยขุดดินทำคันนาในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุอันเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมาจากการกระทำความผิดในคดีก่อนคือการยึดถือครอบครองที่เกิดเหตุที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้ว การขุดดินทำคันนาเป็นการแสดงออกว่าจำเลยยังคงเป็นผู้ยึดถือครอบครองอยู่ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทำลายและทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติขึ้นใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3747/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดครองที่ดินป่าสงวนต่อเนื่อง: ไม่ถือเป็นการทำลายป่าใหม่ แม้มีการขุดดิน
จำเลยขุดดินทำคันนาในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุอันเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมาจากการกระทำความผิดในคดีก่อนคือการยึดถือครอบครองที่เกิดเหตุที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้ว การขุดดินทำคันนาเป็นการแสดงออกว่าจำเลยยังคงเป็นผู้ยึดถือครอบครองอยู่ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทำลายและทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติขึ้นใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำให้เสียทรัพย์: การขุดดินเพื่อปลูกกล้วยไม่ถือเป็นความผิด
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ผู้กระทำจะต้องมีเจตนากระทำให้เสียหายทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น จึงจะเป็นความผิด
การที่จำเลยเช่าที่นาของผู้เสียหายเพื่อทำนามานานประมาณ 20 ปี ต่อมากล้วยมีราคาดี จำเลยจึงจ้างคนขุดที่นาบางส่วนเพื่อปลูกกล้วยมิได้มีเจตนากระทำให้ทรัพย์ของผู้เสียหาย เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือไร้ประโยชน์ จึงไม่ผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
การที่จำเลยเช่าที่นาของผู้เสียหายเพื่อทำนามานานประมาณ 20 ปี ต่อมากล้วยมีราคาดี จำเลยจึงจ้างคนขุดที่นาบางส่วนเพื่อปลูกกล้วยมิได้มีเจตนากระทำให้ทรัพย์ของผู้เสียหาย เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือไร้ประโยชน์ จึงไม่ผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2644/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการริบเงินมัดจำเมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาไม่ขุดดินตามกำหนด
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาขายหน้าดินกันตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีข้อความว่า จำเลยได้ขายหน้าดินจำนวน 15 ไร่ ให้กับโจทก์ราคาไร่ละ 3,800 บาท ราคานี้จะต้องขุดภายในปี พ.ศ.2512. ถ้าขุดไม่หมด จะขุดต่อไปในปีหน้าจะต้องเพิ่มราคาเป็น 4,000 บาท โจทก์ได้วางมัดจำไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นเงิน 20,000 บาท เมื่อทำสัญญากันดังกล่าวแล้ว ต่อมาจำเลยได้รับเงินค่าหน้าดินไปจากโจทก์อีก 20,000 บาท โจทก์ขุดหน้าดินไปได้เพียง 3 ไร่ โดยขุดใน พ.ศ.2513 แล้วไม่ได้ขุดอีก โดยโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ดังนี้ ในการวางเงินมัดจำกันดังกล่าวโจทก์จำเลยมิได้ตกลงเรื่องเงินมัดจำกันไว้เป็นอย่างอื่น กรณีจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378. เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ขุดหน้าดินให้เสร็จภายในกำหนดโดยโจทก์เป็นฝ่ายผิดโจทก์ย่อมได้ชื่อว่าได้ละเลยไม่ชำระหนี้ จำเลยผู้เป็นเจ้าของหน้าดินและรับมัดจำไว้จากโจทก์ ย่อมมีสิทธิที่จะริบมัดจำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 544/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขุดดินใกล้แนวเขตที่ดินต้องเว้นระยะตามกฎหมาย เพื่อป้องกันที่ดินพังทลาย รักษาแนวเขตที่ดินให้มั่นคง
กฎหมายมีเจตนารมณ์ที่จะป้องกันมิให้ที่ดินซึ่งอยู่ชิดแนวเขตที่ดินนั้นพังลงตามธรรมชาติ เนื่องจากมีการขุดดินใกล้แนวเขตที่ดินจนเกินไป จึงได้วางเกณฑ์กำหนดไว้ว่าการขุดคูหรือร่องน้ำจะทำใกล้แนวเขตที่ดินกว่าครึ่งหนึ่งแห่งส่วนลึกของคูหรือร่องนั้นไม่ได้ ในการวัดระยะซึ่งกฎหมายกำหนดไว้เพื่อป้องกันที่ดินพังทลาย จึงต้องวัดจากริมคันนาร่วมออกไปถึงแนวลำรางที่จำเลยขุด การที่จำเลยขุดลำรางชิดกับคันนาร่วม ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ในคันนาร่วม ในฐานะที่คันนาร่วมเป็นแนวเขตที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1342 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขุดดินกีดขวางทางเข้าออกและการพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดิน ศาลรับฟังพยานจำเลยและตัดสินตามแนวเขตที่พิสูจน์ได้
จำเลยมิได้ระบุพยานไว้ จึงขออ้างตนเองเป็นพยานเมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงอนุญาตให้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานได้ คำเบิกความเป็นพยานของจำเลยก็ย่อมรับฟังได้