พบผลลัพธ์ทั้งหมด 22 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246-1247/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกา, การครอบครองทรัพย์สิน, สิทธิเจ้าของรวม, อายุความ
คดีสองเรื่องพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์รายเดียวกัน สำนวนแรกตั้งทุนทรัพย์มาเกิน 2,000 บาท ส่วนสำนวนหลังตั้งทุนทรัพย์มาไม่เกิน 2,000 บาท (คือ2,000 บาท ดังนั้นเฉพาะคดีหลังย่อมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 (อ้างฎีกาที่ 79,80/2494)
กล่าวฟ้องว่าโจทก์และผู้มีชื่อในโฉนดปกครองร่วมกันมาทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าเมื่อซื้อแล้วก็ใส่ชื่อผู้ซื้อในโฉนดแล้วโจทก์และผู้มีชื่ออีกคนหนึ่งมอบหมายให้จำเลยเป็นผู้ดูแลปกครองที่ดิน ดังนี้ย่อมถือว่าเป็นการสืบถูกต้องตามประเด็นในฟ้องแล้ว
เมื่อปรากฏว่าจำเลยครอบครองแทนผู้มีชื่อในโฉนดอื่นแล้วอายุความฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตาม มาตรา 1375 ก็ไม่ตั้งต้นจนกว่าจะได้บอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าตนไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองคือเจ้าของอีกต่อไปตาม มาตรา 1381
เจ้าของรวมคนหนึ่งในโฉนดมีสิทธิจำหน่ายส่วนที่ตนมีสิทธิได้ตาม มาตรา 1361 วรรคหนึ่ง เพราะไม่ใช่เป็นการจำหน่ายตัวทรัพย์สินทั้งหมดตาม ในวรรคสอง
กล่าวฟ้องว่าโจทก์และผู้มีชื่อในโฉนดปกครองร่วมกันมาทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าเมื่อซื้อแล้วก็ใส่ชื่อผู้ซื้อในโฉนดแล้วโจทก์และผู้มีชื่ออีกคนหนึ่งมอบหมายให้จำเลยเป็นผู้ดูแลปกครองที่ดิน ดังนี้ย่อมถือว่าเป็นการสืบถูกต้องตามประเด็นในฟ้องแล้ว
เมื่อปรากฏว่าจำเลยครอบครองแทนผู้มีชื่อในโฉนดอื่นแล้วอายุความฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตาม มาตรา 1375 ก็ไม่ตั้งต้นจนกว่าจะได้บอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าตนไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองคือเจ้าของอีกต่อไปตาม มาตรา 1381
เจ้าของรวมคนหนึ่งในโฉนดมีสิทธิจำหน่ายส่วนที่ตนมีสิทธิได้ตาม มาตรา 1361 วรรคหนึ่ง เพราะไม่ใช่เป็นการจำหน่ายตัวทรัพย์สินทั้งหมดตาม ในวรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1244/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีขับไล่และบังคับคดีที่ดิน/บ้าน: ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากที่ดินและบ้านซึ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าวพร้อมเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 36,000 บาท จำเลยไม่ยื่นคำให้การ และโจทก์บรรยายฟ้องว่าที่ดินและบ้านดังกล่าวหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 4,500 บาท คดีของโจทก์จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท โจทก์และจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษว่าไม่ใช่บริวารของจำเลย โดย ท. ยกที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องทั้งสองในฐานะบุตรสาวและบุตรเขย และศาลชั้นต้นงดการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง และมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีบ้านของผู้ร้องทั้งสอง เท่ากับศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่าผู้ร้องทั้งสองไม่เป็นบริวารของจำเลย และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คดีระหว่างโจทก์และผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยผู้ถูกฟ้องขับไล่ซึ่งอยู่บนอสังหาริมทรัพย์ และคดีระหว่างโจทก์จำเลยเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งคู่ความในคดีฟ้องขับไล่นั้นต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ว่าศาลจะฟังว่าบุคคลดังกล่าวสามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้หรือไม่คดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสาม