คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ข้อเท็จจริงยุติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 29 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จ/เบิกความเท็จ – พยานให้การไม่ตรงกับข้อเท็จจริงยุติในคดีก่อน โจทก์ไม่มีพยานยืนยันความเท็จ
ในคดีก่อนพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องสิบตำรวจตรี ส.ในความผิดฐานฆ่านาย บ. ตายโดยเจตนา ศาลพิพากษาลงโทษสิบตำรวจตรี ส. คดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โดยในคดีก่อนศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ขณะที่ผู้ตายถูกยิงล้มลงไป ไม่มีมีดอยู่ในมือผู้ตายการที่สิบตำรวจตรี ส. ยิงผู้ตายมิใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็เป็นข้อเท็จจริงที่ยุติระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีก่อนเท่านั้น จะนำมาฟังในคดีนี้ว่า การที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนและเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จหาได้ไม่เมื่อโจทก์ไม่มีพยานนำสืบว่าความจริงเป็นดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยก็ไม่มีความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความเช็ค: ศาลต้องวินิจฉัยตามประเด็นที่คู่ความตกลง หากโจทก์ไม่สืบพยาน ศาลไม่อาจหยิบยกข้อเท็จจริงที่ไม่ยุติมาวินิจฉัย
การที่คู่ความแถลงต่อศาลขอต่อสู้เฉพาะประเด็นเรื่องอายุความไม่ติดใจประเด็นอื่น โดยโจทก์แถลงว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 คดีจึงไม่ขาดอายุความ ส่วนจำเลยว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 และต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจสืบพยานนั้น เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า ตามฟ้องและคำให้การรูปเรื่องยังไม่พอฟังว่าโจทก์ได้รับคืนเช็คพิพาทมาอย่างไรอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 ได้ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบข้อนี้ ให้ปรากฏเมื่อโจทก์ไม่ติดใจนำสืบก็ไม่อาจหยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งยังไม่ยุติมาเป็นข้อวินิจฉัยได้ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้อง และเมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานเสียแล้วก็ไม่มีเหตุใด ๆ ที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 290/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานเมื่อจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบ และผลของการไม่โต้แย้งข้อเท็จจริงต่อการวินิจฉัยฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการพิจารณาคดีมาโดยลำดับโดยได้สืบพยานโจทก์แล้วสืบพยานจำเลยโดยสืบตัวจำเลยซึ่งมาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดที่สองแล้วจำเลยแถลงว่าไม่มีพยานมาศาลอีกศาลชั้นต้นจึงได้งดสืบพยานอื่นของจำเลยเพราะจำเลยได้แถลงไว้ในนัดก่อนว่าพยานจำเลยคนใดไม่มาก็ไม่ติดใจสืบทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยปฏิบัติในคดีแต่ต้นมาส่อไปในทางประวิงคดีถือว่าการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้นชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว
เมื่อจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นพิพากษาและมิได้กล่าวอ้างคัดค้านในฎีกาข้อเท็จจริงจึงยุติตามศาลชั้นต้น และเมื่อการฟังข้อเท็จจริงเป็นเหตุให้ศาลฎีกายกฟ้องแย้งของจำเลยแล้วปัญหาที่ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมหรือไม่จึงไม่จำต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1102/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องรวมแพ่ง-อาญา กรณีบุกรุก และผลผูกพันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญารวมกันมา หาว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทของโจทก์ และนำข้อความเท็จแจ้งพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่นา (แปลงเดียวกัน)ของจำเลย ขอให้ลงโทษและใช้ค่าเสียหายคดีส่วนอาญา ศาลชั้นต้นสั่งคดีมีมูลเฉพาะข้อหาแจ้งข้อความเท็จ ส่วนเรื่องบุกรุกโต้เถียงกรรมสิทธิ์ว่าเป็นกรณีทางแพ่งก็รับไว้พิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์บุกรุก ขอให้ใช้ค่าเสียหายศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยในทางแพ่ง ดังนี้ในส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ศาลก็ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์บุกรุก ซึ่งเป็นละเมิด โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1752/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าเพื่อทำการค้า มิใช่เคหะ: ศาลยืนตามข้อเท็จจริงที่ยุติว่าเรือนพิพาทเป็นที่ทำการค้า ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
คดีที่ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้วตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา
เมื่อเรือนพิพาทอยู่ในทำเลที่มีการค้าและเป็นสถานที่ซึ่งทำการติดต่อกับการค้าทั้งได้เคยทำการค้ามาก่อนกับจำเลยก็ได้เช่าไว้เพื่อทำการค้า ถึงแม้ว่าจำเลยและครอบครัวจะอยู่ด้วยก็อยู่เพื่อประกอบการค้านั่นเองดังนั้นเรือนพิพาทจึงมิใช่เคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
เมื่อฟังว่าจำเลยเช่าเรือนพิพาทเพื่อทำการค้าจริงๆ ดังสัญญาเช่าที่โจทก์อ้างประกอบฟ้องแล้ว ประเด็นเรื่องนิติกรรมอำพรางตามข้อต่อสู้ของจำเลยก็ย่อมตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2487 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปัญหาข้อเท็จจริงยุติแล้ว ไม่ต้องวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย แม้ฟ้องผิดวัน
เมื่อสาลเดิมและสาลอุธรน์พิพากสายกฟ้องโจทโดยอาสัยข้อเท็ดจริง โจทดีกาไนปัญหาข้อกดหมายได้
เมื่อปัญหาข้อเท็จจริงเปนอันบุตติแล้วว่า หลักถานพยานโจทยังไม่พอฟังลงโทสจำเลยได้ ปัญหาข้อกดหมายที่ว่าฟ้องของโจทผิดวันหรือไม่ ก็ไม่จำต้องวินิฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2487

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปัญหาข้อเท็จจริงยุติแล้ว ศาลไม่ต้องวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย
เมื่อศาลเดิมและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายได้
เมื่อปัญหาข้อเท็จจริงเป็นอันยุติแล้วว่า หลักฐานพยานโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้ ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าฟ้องของโจทก์ผิดวันหรือไม่ ก็ไม่จำต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2803/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุจำเลยยกเหตุข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกา ซึ่งเคยถูกตัดสินแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 ศาลชั้นต้นฟังพยานโจทก์ว่า จำเลยร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงจริง และพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องจำเลยอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงว่า ผู้เสียหายมีส่วนร่วมในความผิดที่เกิดขึ้นจึงไม่เป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย กับขอให้รอการลงโทษให้แก่จำเลยโดยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงแต่ประการใด ข้อเท็จจริงจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยร่วมกันกระทำความผิด ผู้เสียหายปรักปรำจำเลย ทำให้มีเหตุสงสัย จึงเชื่อได้ไม่สนิทใจว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องนั้น เป็นการหยิบยกเอาข้อเท็จจริงซึ่งยุติไปในศาลชั้นต้นขึ้นมาโต้เถียงใหม่ในชั้นฎีกา จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ซึ่งไม่อาจอนุญาตให้ฎีกาได้ การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้เป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: โต้เถียงข้อเท็จจริงยุติแล้ว & ฎีกาแก้โทษที่ศาลล่างใช้ดุลยพินิจแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยอุทธรณ์เพียงขอให้ลงโทษสถานเบาเท่านั้น โดยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลาง ที่จำเลยฎีกาว่าการตรวจพิสูจน์ผิดพลาด จึงเป็นการโต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้วและเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา อันเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
of 3