พบผลลัพธ์ทั้งหมด 155 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7263/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยในคดียาเสพติด: ศาลฎีกาแก้ไขโทษที่ไม่ชอบ และวินิจฉัยข้อจำกัดการเพิ่มโทษจากคดีก่อน
จำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดตามฟ้อง ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ด. เพื่อนจำเลยเป็นคนยัดเฮโรอีนของกลางใส่กระเป๋าจำเลย จากนั้นจำเลยเดินมาก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมของกลาง จำเลยกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คดีก่อนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี คดีถึงที่สุดดังนี้ จำเลยย่อมยังไม่ได้รับโทษจำคุก จึงไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้
การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทเพิ่มโทษจำเลยมาโดยไม่ชอบ แม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 เป็นให้ยกคำขอให้เพิ่มโทษจำเลย
คดีก่อนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี คดีถึงที่สุดดังนี้ จำเลยย่อมยังไม่ได้รับโทษจำคุก จึงไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้
การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทเพิ่มโทษจำเลยมาโดยไม่ชอบ แม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 เป็นให้ยกคำขอให้เพิ่มโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5240/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีก่อนต้องถึงที่สุดแล้ว จึงจะฟ้องซ้ำไม่ได้
กรณีที่จะเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148 คดีก่อนต้องถึงที่สุดแล้ว
ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้ ขณะคดีแพ่งเรื่องก่อนยังไม่ถึงที่สุด เพราะคดีดังกล่าวยังไม่มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟัง ดังนั้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้ ขณะคดีแพ่งเรื่องก่อนยังไม่ถึงที่สุด เพราะคดีดังกล่าวยังไม่มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟัง ดังนั้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5240/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำต้องคดีก่อนถึงที่สุด เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
กรณีที่จะเป็นฟ้องซ้ำตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 คดีก่อนต้องถึงที่สุดแล้ว ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้ ขณะคดีแพ่งเรื่องก่อนยังไม่ถึงที่สุดเพราะคดีดังกล่าวยังไม่มีการอ่านคำพิพากษา ศาลฎีกาให้คู่ความฟัง ดังนั้น ฟ้องโจทก์คดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นสัญญาปลอมที่เคยถูกวินิจฉัยแล้วในคดีก่อน ห้ามฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ที่ 1 ให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและให้โจทก์ที่ 2 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันโจทก์ทั้งสองให้การต่อสู้คดีว่า ลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์ทั้งสองแต่เป็นลายมือชื่อที่จำเลยทำปลอมขึ้นอันเป็นเอกสารปลอมทั้งฉบับ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงินเป็นลายมือชื่อของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันจริง ต่อมาโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ขอให้ศาลพิพากษาว่าตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันและสัญญาทั้งสองฉบับเป็นโมฆะกรรม อันเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมบางส่วนก็ตาม แต่เมื่อประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้กับคดีก่อนเป็นประเด็นเดียวกันว่า สัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันทั้งสองฉบับเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ ดังนี้การฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3846/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องโทษจำคุกคดีก่อนมีผลต่อการรวมโทษหรือไม่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกรอไว้ 2 ปี โดยไม่ได้บรรยายฟ้องระบุถึงโทษจำคุกที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในคดีก่อนว่ามีระยะเวลาเท่าใด แม้ตามคำให้การของจำเลยและรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องและรับข้อเท็จจริงเรื่องเคยต้องโทษตามฟ้อง แต่เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุถึงระยะเวลาของโทษจำคุกในคดีก่อน จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่ปรากฏแก่ศาลให้รับฟังได้ว่า ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยนานเท่าใดในคดีก่อน ดังนั้น จึงไม่อาจบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังตามที่โจทก์ขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมโทษคดีหลังกับโทษรอการลงโทษคดีก่อน แม้คดีไม่เกี่ยวเนื่อง
ตาม ป.อ.มาตรา 58 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตาม ป.อ.มาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ก็ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังได้ โดยคดีก่อนและคดีหลังไม่จำต้องเป็นคดีที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษในคดีก่อนกับคดีหลัง แม้คดีไม่เกี่ยวเนื่องกัน เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก ที่บัญญัติว่าเมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์ หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาล พิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ก็ให้ศาลที่ พิพากษาคดีหลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับ โทษในคดีหลังได้ โดยคดีก่อนและคดีหลังไม่จำต้องเป็นคดี ที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8217/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีก่อน และการครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
จำเลยเคยฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่พิพาท และโจทก์ได้ยื่นคำร้องและนำช่างแผนที่สำนักงานที่ดินบุกรุกเข้าไปรังวัดที่ดินจำเลยบางส่วน คิดเป็นเนื้อที่27 ไร่ 1 งาน 50 ตารางวา ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ให้การว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ในคดีดังกล่าวได้มีการทำแผนที่พิพาทซึ่งโจทก์ได้อ้างเป็นพยานในคดีนี้ และลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วย ตามเอกสารหมาย จ.69และศาลฎีกาพิพากษาว่าที่ดินตามแผนที่เอกสารหมาย จ.19 ในคดีดังกล่าวซึ่งตรงกับแผนที่เอกสารหมาย จ.74 และ จ.69 ในคดีนี้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจำเลยครอบครองอยู่ ดังนี้ คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคแรก เมื่อที่ดินส่วนที่เป็นที่พิพาทในคดีนี้ตั้งอยู่ในเขตแผนที่ในคดีก่อน ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาคดีถึงที่สุดในคดีนั้นแล้วว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจำเลยครอบครอง ที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนี้ โจทก์จะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินคือจำเลยไม่ได้ตามป.พ.พ.มาตรา 1306
ศาลฎีกาในคดีก่อนพิพากษาว่า ที่ดินตามแผนที่พิพาทในคดีนั้นหรือกับแผนที่พิพาทในคดีนี้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจำเลยครอบครองอยู่ย่อมมีเหตุให้จำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนเข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับคดีได้ นอกจากนี้การออกหมายจับโจทก์มาบังคับคดีได้หรือไม่ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะคัดค้านต่อศาลได้และอยู่ในดุลพินิจของศาลก่อนที่จะมีคำสั่งคำขอของโจทก์กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 420
ศาลฎีกาในคดีก่อนพิพากษาว่า ที่ดินตามแผนที่พิพาทในคดีนั้นหรือกับแผนที่พิพาทในคดีนี้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจำเลยครอบครองอยู่ย่อมมีเหตุให้จำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนเข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยมีสิทธิที่จะบังคับคดีได้ นอกจากนี้การออกหมายจับโจทก์มาบังคับคดีได้หรือไม่ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะคัดค้านต่อศาลได้และอยู่ในดุลพินิจของศาลก่อนที่จะมีคำสั่งคำขอของโจทก์กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 420
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5283/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามข้อตกลงแบ่งแยกที่ดินหลังมีคำพิพากษาคดีก่อน ไม่เป็นข้อหาเดิม
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวร่วมกัน ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า หลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีก่อนแล้ว โจทก์จำเลยได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินพิพาทดังกล่าวตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ขอให้แบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลงดังกล่าว จำเลยให้การว่า หลังจากศาลพิพากษาในคดีก่อนแล้วในวันนั้นโจทก์จำเลยได้ทำความตกลงกันโดยโจทก์ครอบครองที่ดินซีกทางด้านทิศใต้เพราะปลูกบ้านอยู่ก่อนแล้ว ส่วนจำเลยได้สิทธิครอบครองที่พิพาทซีกด้านทิศเหนือ แต่บ้านอีกหลังหนึ่งที่โจทก์อ้างว่า ตามข้อตกลงให้จำเลยรื้อถอนออกไปเพราะขวางทางเข้าออกของโจทก์นั้น จำเลยไม่สามารถรื้อได้ ขอให้ศาลยกฟ้อง ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่าโจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทตามข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ได้หรือไม่ซึ่งต่างกับคดีก่อนที่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับโจทก์แบ่งแยกที่พิพาทเพราะเป็นเจ้าของร่วมกันหรือไม่ซึ่งศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยมีส่วนในที่พิพาทเท่ากันและพิพากษาให้แบ่งคนละกึ่งหนึ่ง ฉะนั้นประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยในคดีก่อนกับประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ไม่ได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3998/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำและการยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกา: อำนาจฟ้องยังไม่สิ้นสุดแม้ถอนฟ้องคดีก่อน
แม้ในคดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์จำเลยตกลงกันได้ โจทก์ไม่มีความประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไป ก็มีความหมายว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยสำหรับคดีนั้นเท่านั้น หาอาจแปลไปว่าโจทก์จะไม่ฟ้องคดีใหม่แก่จำเลยอีก การถอนฟ้องในคดีก่อนไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์หมดไป โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ใหม่ได้ภายในอายุความ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 176 และคดีก่อนศาลจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ถอนฟ้อง ยังมิได้มีคำพิพากษาชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี เมื่อโจทก์มาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148
ที่จำเลยฎีกาว่า ค่าถมดินที่ค้างชำระได้หักกลบลบหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วนั้น จำเลยให้การต่อสู้คดีแต่เพียงว่า ที่ดินที่ซอยอ่อนนุชจำเลยไม่เคยจ้างโจทก์ให้ถมดินหรือรับซื้อดินจากโจทก์ ส่วนที่ดินที่ซอย 50 เขตบางเขนนั้น จำเลยมิได้จ้างโจทก์ถมดิน จำเลยเพียงแต่รับซื้อดินจากโจทก์บางส่วนแต่ก็ได้ชำระค่าดินให้โจทก์ไปแล้ว ไม่เคยค้างชำระค่าดิน คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการหักกลบลบหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้นั้น จึงไม่ชอบ ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
ที่จำเลยฎีกาว่า ค่าถมดินที่ค้างชำระได้หักกลบลบหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วนั้น จำเลยให้การต่อสู้คดีแต่เพียงว่า ที่ดินที่ซอยอ่อนนุชจำเลยไม่เคยจ้างโจทก์ให้ถมดินหรือรับซื้อดินจากโจทก์ ส่วนที่ดินที่ซอย 50 เขตบางเขนนั้น จำเลยมิได้จ้างโจทก์ถมดิน จำเลยเพียงแต่รับซื้อดินจากโจทก์บางส่วนแต่ก็ได้ชำระค่าดินให้โจทก์ไปแล้ว ไม่เคยค้างชำระค่าดิน คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการหักกลบลบหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้นั้น จึงไม่ชอบ ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้