คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความขัดแย้ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 109 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3176/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายในความขัดแย้งส่วนตัว การกระทำจึงไม่เป็นการป้องกันตัวหรือบันดาลโทสะ
โจทก์ร่วมกับจำเลยโต้เถียงกันเรื่องเขตที่นา โดยจำเลยต่อว่าโจทก์ร่วมก่อนและชกต่อยกัน โจทก์ร่วมสู้ไม่ได้จึงใช้จอบตีจำเลยล้มลงและโจทก์ร่วมผละจากจำเลยเมื่อเห็นจำเลยล้มลงแล้ว จำเลยจึงใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงโจทก์ร่วม 1 นัด ขณะที่โจทก์ร่วมอยู่ห่างจากจำเลยประมาณ 5 วา พฤติการณ์เป็นการสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน และจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุก่อน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันและบันดาลโทสะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความขัดแย้งระหว่างหุ้นส่วนและการเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญ
โจทก์จำเลยตกลงเข้าหุ้นประกอบกิจการโรงกลึงเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน การที่โจทก์จำเลยขัดแย้งกันโดยจำเลยไม่ให้โจทก์มีสิทธิสั่งจ่ายเงินและไม่แบ่งผลกำไรให้โจทก์ แต่กลับนำเงินไปจ่ายล่วงหน้าสำหรับรถยนต์ที่จำเลยซื้อ และจำเลยไม่ได้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายของกิจการโรงกลึงไว้ทั้งยังปฏิเสธว่าโจทก์มิใช่หุ้นส่วนกับจำเลย เช่นนี้ ถือได้ว่าผู้เป็นหุ้นส่วนไม่ปรองดองกันเหลือวิสัยที่ห้างหุ้นส่วนจะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ จึงมีเหตุที่ศาลจะพิพากษาให้เลิกห้างหุ้นส่วนตามที่โจทก์ฟ้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือพยานหลักฐาน – คดีปล้นทรัพย์ – ความขัดแย้งผลประโยชน์ – ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
แม้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความว่า จำเลยทั้งสามกับพวกล้อมบังคับให้ผู้เสียหายนั่งและจับผู้เสียหายนอนลงโดยมีคนใช้เท้าเหยียบขาผู้เสียหาย และมีคนหยิบเงินจำนวน 6,500 บาทไปจากผู้เสียหาย แต่ก็ได้ความจากผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายรู้จักกับจำเลยทั้งสามมาก่อน เคยย้ายมาพักอาศัยอยู่กับทางฝ่ายจำเลยและเคยยืมเงินจำเลยที่ 2 กับวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 บอกให้ผู้เสียหายย้ายไปจากกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้น เจือสมกับข้อนำสืบของจำเลยว่า ผู้เสียหายย้ายมาขออาศัยอยู่กับฝ่ายจำเลย ฝ่ายจำเลยให้การช่วยเหลือผู้เสียหายด้านการเงิน และยอมให้ผู้เสียขายโรตี บริเวณที่จำเลยที่ 1 เคยขายมาก่อน โดยให้ขายเพียง 1 เดือน แต่ผู้เสียหายไม่ยอมย้าย คืนเกิดเหตุจำเลยทั้งสามไปพบผู้เสียหายเพื่อขอให้ย้ายที่ขายโรตี ซึ่งผู้เสียหายไม่ยอม และจำเลยที่ 2 ทวงเงินผู้เสียหาย จึงเกิดโต้เถียงกัน ส่อแสดงว่าผู้เสียหายกับฝ่ายจำเลยมีข้อขัดแย้งผลประโยชน์กัน ทั้งผู้เสียหายยังเบิกความกลับไปกลับมาในเรื่องบริเวณที่ขายโรตีของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 และเรื่องการยืมเงินของจำเลยที่ 2 ในที่เกิดเหตุคำพยานผู้เสียหายมีพิรุธ กับหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุจนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมได้ ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ถูกจับได้ในคืนเกิดเหตุ แต่ตรวจค้นไม่พบเงินของผู้เสียหายจากจำเลยทั้งสามพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานในคดีอาญา: การพิจารณาความขัดแย้งของคำเบิกความและเหตุการณ์ในเวลากลางคืน
เหตุเกิดในเวลากลางคืน ผู้เสียหายอ้างว่าเห็นและจำหน้าคนร้ายได้ในขณะที่คนร้ายขับรถจักรยานยนต์แซงรถจักรยานยนต์คันที่ผู้เสียหายนั่งซ้อนท้าย ป. มา โดยอาศัยแสงไฟรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายและแสงไฟรถจักรยานยนต์ที่แล่นสวนมากับแสงจันทร์แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วแสงไฟรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายย่อมพุ่งไปข้างหน้าจึงไม่สว่างพอที่จะทำให้ผู้เสียหายเห็นหน้าคนร้ายที่ขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่แซงรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายได้ส่วนแสงจันทร์ก็มีความสว่างน้อยไม่พอจะเห็นหน้าคนร้ายได้ ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่ขับรถจักรยานยนต์แต่กลับเบิกความตอบคำถามค้านว่าตอนที่ชี้ตัวนั้นเพิ่งรู้ว่าจำเลยเป็นคนที่ตนรู้จักมาก่อน ดังนี้หากผู้เสียหายจำคนร้ายได้จริงก็น่าจะบอกชื่อคนร้ายได้ในวันเกิดเหตุ คำเบิกความของผู้เสียหายจึงมีพิรุธไม่น่าเชื่อ ช่วงเวลาที่คนร้ายที่นั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ลงจากรถมาถีบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายทันทีจน ป. พยานและรถตกลงไปในคูน้ำข้างทาง ทำให้โอกาสที่ ป. จะเห็นและจำหน้าคนร้ายที่ขับรถจักรยานยนต์มีน้อย เมื่อพยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน: พยานเบิกความขัดแย้ง ทำให้เกิดความสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดจริงหรือไม่
พยานโจทก์ 2 ปาก ซึ่งเป็นผู้ตรวจค้นและจับกุมจำเลยร่วมกันแต่เบิกความถึงการสืบสวนเบื้องต้น การตรวจค้นจับกุม ลักษณะของยาเม็ดของกลางตลอดจนลักษณะสำคัญของบ้านจำเลยแตกต่างกันทุกขั้นตอนโดยตลอดเป็นพิรุธ ถือว่า พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำหรือไม่ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำเบิกความในชั้นสอบสวนและศาล: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำเบิกความต่อศาลมีเหตุผลน่าเชื่อถือกว่า แม้จะขัดแย้งกับคำให้การเดิม
เมื่อคำเบิกความของจำเลยในการพิจารณาคดีต่อศาลน่าจะเป็นความจริงทั้งจำเลยเบิกความดังกล่าว โจทก์ก็ได้ให้จำเลยดูคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยแล้ว จำเลยได้ยืนยันว่า คำให้การดังกล่าวไม่ตรงกับความจริง ความจริงเป็นดังที่จำเลยเบิกความต่อศาลแม้โจทก์จะมีพนักงานสอบสวนในคดีอาญาดังกล่าวมาเบิกความรับรองว่าจำเลยได้ให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ เมื่อจำเลยได้เบิกความต่อศาลโดยมีเหตุผลประกอบน่าเชื่อว่าเป็นความจริง จึงไม่อาจที่จะรับฟังว่าจำเลยได้เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การยกข้อเท็จจริงขัดแย้งกับคำให้การเดิมในศาลชั้นต้น
การที่จำเลยฎีกาโดยอ้างสิทธิในที่พิพาทว่ายังเป็นทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้มีการแบ่งปันกัน ต้องถือว่า ทายาทมีสิทธิครอบครองร่วมกันและแทนกันตลอดทั้งแปลงนั้น เป็นการฎีกาโดยยกข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การของจำเลยซึ่งไม่มีประเด็นจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5379/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินและการบังคับตามสัญญา ต้องมีเจตนาชัดเจนในการซื้อขาย การจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไม่ถือเป็นการซื้อขาย
โจทก์อ้างว่าจำเลยซื้อที่ดินโจทก์เฉพาะส่วนที่จำเลยรุกล้ำตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 แล้วไม่ชำระราคาตามกำหนด โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยกล่าวแก้ว่าส่วนที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำจำเลยครอบครองมาตั้งแต่ได้รับยกให้ โจทก์จำเลยโต้เถียงกัน เพื่อไม่ให้ต้องดำเนินคดีกัน จำเลยยินยอมให้เงินโจทก์ 2,000 บาทได้ทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ไว้ ปรากฏว่าตามสัญญาเอกสารหมายจ.1 ไม่มีข้อความใดระบุว่าเป็นการซื้อขาย คงมีแต่เพียงว่าจำเลยจะจ่ายเงินให้โจทก์ 2,000 บาท ใน 60 วัน และไม่มีข้อความใดระบุว่าถ้าหากจำเลยไม่ใช้เงินแก่โจทก์ตามกำหนดแล้ว คู่สัญญาต้องปฏิบัติอย่างไรต่อกันจึงต้องถือเอาเจตนาในการเข้าทำสัญญาระหว่างกันจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินตามสัญญา แต่โจทก์ไม่ได้ขอให้บังคับตามข้อนี้ ส่วนประเด็นที่โจทก์อ้างว่าจำเลยซื้อขายที่ดินส่วนที่รุกล้ำนั้นจำเลยปฏิเสธว่าให้เงินเพื่อไม่ต้องดำเนินคดีแก่กัน ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบตามข้อกล่าวอ้าง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยตกลงจะซื้อที่ดินของโจทก์ ศาลจึงบังคับขับไล่จำเลยตามฟ้องไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 488/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดทางอาญาต้องอาศัยพยานหลักฐานที่ชัดเจน การรับคำสารภาพต้องปราศจากความขัดแย้ง
พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้เพียงว่าไร่ที่ปลูกกัญชาและพืชอื่น ๆ เป็นของนายจ้าง จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างที่ช่วย ทำไร่โดย โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับไร่กัญชาของนายจ้างอย่างไร ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเข้าทำงานเป็นลูกจ้างตั้งแต่ เมื่อใดและจำเลยได้ ช่วย ปลูกหรือช่วย ทนุ บำรุงกัญชาของกลางหรือไม่จึงไม่มีพฤติการณ์ส่อแสดงการร่วมกระทำผิดของจำเลย ประกอบกับในชั้นสอบสวน จำเลยให้การว่าเมื่อเริ่มเข้าทำงานเป็นลูกจ้างก็เห็นมีต้นกัญชาอยู่แล้ว แต่ จำเลยไม่ได้สนใจอย่างไร แสดงว่าจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับไร่กัญชาของนายจ้างคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นคำให้การรับสารภาพไม่อาจรับฟังประกอบพยานโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้ จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ ร่วมกับนายจ้างปลูกกัญชาของกลางและร่วมกันมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางที่ยึดได้ จากชื่อและครัวในขนำโดย นายจ้างเป็นเจ้าของขนำและได้ อยู่ อาศัยในขนำขณะที่เจ้าพนักงานเข้าตรวจ ค้นตาม ปกติทรัพย์สินในขนำควรจะเป็นของผู้เป็นนายจ้าง เว้นแต่โจทก์นำสืบได้ ว่าจำเลยซึ่ง เป็นลูกจ้างเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น ทางพิจารณาโจทก์คงมีแต่ บันทึกการจับกุมและคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ยืนยันว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของจำเลย จำเลยนำสืบปฏิเสธว่าจำเลยให้การรับสารภาพเพราะถูก ชกต่อยทำร้าย แม้จำเลยนำสืบลอย ๆ แต่ เมื่อถ้อยคำ ของ จำเลยตาม บันทึกการจับกุมไม่ตรง กับถ้อยคำ ของ จำเลยตาม คำเบิกความของพยานโจทก์ผู้ร่วมจับกุมจำเลยจึงเป็น เหตุน่าสงสัยว่าบันทึกการจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวนได้ มีการบันทึกถูกต้อง ตรง กับความเป็นจริงหรือไม่เพราะทำขึ้นในคราวเดียว กัน คำให้การดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักที่จะนำมารับฟังประกอบพยานโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยในความผิดฐาน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ: ศาลมีดุลพินิจพิจารณาความเหมาะสม โดยคำนึงถึงความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์
การอนุญาตให้บุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนผู้มรณะตาม ป.วิ.พ.มาตรา 43 ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงความเหมาะสมและเหตุสมควร โดยศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ แม้โจทก์จำเลยจะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็เป็นคู่ความฝ่ายตรงกันข้ามและเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หากยอมให้โจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลย โจทก์ย่อมต้องดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นคุณแก่โจทก์ อันเป็นการขัดต่อความประสงค์ของจำเลยผู้มรณะอย่างเห็นได้ชัด ศาลชอบที่จะไม่อนุญาตให้โจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยได้.
of 11