คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความน่าเชื่อถือ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 210 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานในคดีอาญา: การพิจารณาความพิรุธและข้อสงสัยในพยานหลักฐาน
ในคืนวันเกิดเหตุจำเลยว่าจ้างป. ให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งที่คลองเตยตกลงราคากันอยู่นานประมาณ 2 นาทีไม่ได้ความว่า ป.ได้สังเกตตำหนิรูปพรรณของจำเลยว่ามีลักษณะพิเศษอย่างไร ทั้งสถานที่จอดรถจักรยานยนต์รับจ้างที่ป.จอดรถอยู่ข้างวัดอยู่ห่างจากประตูซุ้มถึง 200 เมตรแสงสว่างจากไฟฟ้าที่ประตูซุ้มน่าจะส่องมาไม่ถึง นอกจากนี้ระหว่างทางที่ ป.ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งคนร้ายก็ไม่ปรากฏว่าได้พูดคุยหรือหันมามองหน้าคนร้ายแต่อย่างใดน่าเชื่อว่าตอนที่คนร้ายไปว่าจ้างให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งป.คงเห็นหน้าคนร้ายไม่ชัดเจนปรากฏว่า ป.รูปร่างสูงใหญ่มีร่างกายแข็งแรงกว่าจำเลยซึ่งมีรูปร่างผอมสูงและเป็นคนติดยาเสพติด ตามสภาพไม่น่ามีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อย ป.จนล้มลงจากรถจักรยานยนต์และจำเลยคงไม่กล้าเสี่ยงกระทำการดังกล่าวเป็นแน่ ประกอบกับภายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจให้ ป. ไปขอหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทผู้ให้เช่าซื้อรถมาร้องทุกข์ แต่ ป. กลับนำหนังสือมอบอำนาจมาให้เป็นเวลาภายหลังเกิดเหตุแล้วถึง 5 วัน ทำให้ ป.มีเวลาปรุงแต่งลักษณะตำหนิรูปพรรณของคนร้ายก็เป็นได้เมื่อจำเลยนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่มาตลอด พยานหลักฐานโจทก์จึงมีพิรุธและมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้จริงหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 87/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์การร่วมกันปล้นทรัพย์: ความน่าเชื่อถือของพยานบุคคลและคำรับสารภาพ
พยานจำคนร้ายว่าเป็นจำเลย และ ม.เพราะรู้จักมาก่อนและเห็นโดยอาศัยแสงตะเกียงที่ศีรษะไว้ส่องเวลากรีดยางซึ่ง ย่อมส่องสว่างพอให้มองได้ชัดในระยะ 3 ถึง 5 เมตร หลังเกิดเหตุ ได้ไปบ้าน ท. พ่อตาของจำเลยบอกว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งทันที ท. ขอร้องไม่ให้แจ้งความ รับจะจัดการเองและจะจ่ายค่าเสียหายให้ส่วน จ. ซึ่งเป็นกำนันได้แจ้งวันเกิดเหตุจากผู้เสียหายว่าถูกคนร้ายลักทรัพย์จึงถามเรื่องคนร้าย ท. บอกว่าจำเลยเป็นคนร้ายและรับปากว่าจะเจรจาเรียกค่าเสียหายให้ผู้เสียหายยินยอม ทั้งจำเลยเข้ามอบตัว ให้การรับสารภาพ และนำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้ที่เกิดเหตุ ถ่ายรูปไว้ ประกอบกับจำเลยให้การในชั้นสอบสวนอย่างละเอียด เป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของจำเลยโดยเฉพาะยากที่ พนักงานสอบสวนจะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเองได้ พยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายร่วมปล้นทรัพย์ผู้เสียหายจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีชิงทรัพย์โดยอาศัยพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ และการยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
ขณะที่คนร้ายขับจักรยานยนต์ผ่านผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ได้สังเกต เมื่อคนร้ายหยุดรถผู้เสียหายไม่สนใจว่า จะหยุดรถทำไมจนกระทั่งคนร้ายลงจากรถจักรยานยนต์ เข้ามาตบที่กกหูด้านซ้ายของผู้เสียหายแล้วกระชากสร้อยคอทองคำไป ผู้เสียหายไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์ในระยะเวลากะทันหันเช่นนั้น ผู้เสียหายเป็นผู้หญิงย่อมตกใจกลัวเป็นธรรมดา ทั้งได้ความว่าเมื่อถูกตบแล้วรู้สึกมึนงงดังนั้น ที่ผู้เสียหายอ้างว่าจำจำเลยได้จึงเป็นที่น่าสงสัยอยู่ส่วนที่อ้างว่าจำจำเลยได้เพราะจำเลยสวมกางเกงขาสั้นสีดำและเสื้อยืดคอกลมสีน้ำเงินนั้นก็ไม่ปรากฏว่าเสื้อยืดที่คนร้ายสวมใส่มีลักษณะพิเศษหรือจุดเด่นที่จะทำให้จดจำได้ง่ายทั้งเป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่คนทั่วไปสวมใส่กัน เมื่อผู้เสียหายตามไปพบจำเลยและได้กล่าวหาจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่ กระชากสร้อยคอทองคำไป ผู้เสียหายจงให้ พ. ไปตามเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งในช่วงระยะเวลานี้ถ้าจำเลยเป็นคนร้ายจริงจำเลยย่อมหลบหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นคงไม่อยู่รอให้เจ้าพนักงานตำรวจมาจับกุมจำเลยเป็นแน่ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาทั้งของกลางก็ไม่ได้จากตัวจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4294/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานปากเดียว และการยกประโยชน์แห่งความสงสัยในคดีอาญา
ตอนที่ผู้เสียหายเห็นหน้าคนร้ายภายในห้องนอนคนร้ายก็ กระโดดคร่อมตัวผู้เสียหายและชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายทันที ซึ่งในภาวะเช่นนั้นผู้เสียหายย่อมต้องปัดป้องจากการ ถูกทำร้ายซึ่งคนร้ายชกต่อยผู้เสียหาย 40-50 ครั้ง โอกาสที่ ผู้เสียหายจะดึงหมวดอ้ายโม่ง หลุดออกทางศีรษะ คนร้าย ขึ้นไปด้านบนจึงไม่น่าเป็นไปได้ นอกจากนี้เมื่อคนร้าย กระโดดจากชั้นสองลงไปชั้นล่างและหลบหนีไปนั้น ส.เห็นหน้าคนร้ายยังสวมหมวกอ้ายโม่ง เดินไปทางซอยห่างจากบ้าน ประมาณ 7-8 วา ก่อนขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปแสดงให้เห็นว่า นับแต่คนร้ายคร่อมตัวผู้เสียหายและทำร้ายผู้เสียหาย จนกระทั่งหลบหนีไปทางหลังบ้านคนร้ายยังสวมหมวกอ้ายโม่ง อยู่ ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าคนร้ายเอาหมวกอ้ายโม่ง ติดตัวไปด้วย และตอบทนายถามค้านว่าเมื่อจำเลยเห็นว่าผู้เสียหายเห็นหน้า แล้วก็ได้นำหมวกอ้ายโม่ง มาสวมคลุมกลับไปอย่างเดิมอีก ไม่น่าเชื่อเพราะผู้เสียหายรู้จักจำเลยเมื่อเห็นหน้าคนร้าย ว่าเป็นจำเลยแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปกปิดใบหน้าอีก หลังเกิดเหตุเมื่อ ส. มาพบผู้เสียหายที่ชั้นล่างของบ้านก็ไม่ได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับตัวคนร้ายทั้งตอนที่ เจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยก็ปรากฏว่าจำเลยนอนอยู่ บนแคร่ใต้ถุนบ้าน ไม่ได้แสดงอาการหลบหนีแต่ประการใด ทั้งหมวกอ้ายโม่ง ที่คนร้ายสวมใส่ก็ไม่ได้ยึดจากจำเลย เป็นของกลาง ส่วนรองเท้าแตะสีดำยี่ห้อคอมพาสที่ยึดได้จากบ้านผู้เสียหายเป็นของกลางจำเลยก็ปฏิเสธว่ามิใช่ของจำเลย เมื่อโจทก์มีแต่คำเบิกความของผู้เสียหายปากเดียวโดยขาดพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนเช่นนี้ ทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อย ที่ผู้เสียหาย อ้างว่าดึงหมวกอ้ายโม่ง ออกสามารถมองเห็นหน้าคนร้าย คือจำเลยขณะถูกทำร้ายจึงเป็นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นความจริง หรือไม่ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีความสงสัย ตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ ต้องยกประโยชน์ แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์โดยใช้กำลังข่มขู่ ความน่าเชื่อถือพยานหลักฐาน และการรับสารภาพ
คำเบิกความของพยานโจทก์ทุกปากไม่มีผู้ใดมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยจึงไม่มีข้อน่าระแวงสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลย น่าเชื่อว่าพยานทุกปากเบิกความไปตามความเป็นจริงส่วนที่จำเลยนำสืบว่าที่ให้การรับสารภาพเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายจนทนไม่ไหวนั้น คงมีตัวจำเลยและบิดาจำเลยเท่านั้นที่เบิกความ และทนายจำเลยก็มิได้ถามค้านในเรื่องที่จำเลยอ้างว่าถูกทำร้ายจนทนไม่ไหวจึงต้องให้การรับสารภาพไว้ในขณะที่เจ้าพนักงานสอบสวนมาเบิกความเมื่อพิจารณาพยานหลักฐานต่าง ๆ ประกอบกับภาพถ่ายซึ่งจำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว เห็นได้ว่าจำเลยกระทำโดยสมัครใจและไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายอยู่เลยคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยจึงไม่มีข้อพิรุธหรือน่าสงสัยว่าจะมีการบังคับขู่เข็ญ หรือทำร้ายจนจำเลยทนไม่ได้ต้องให้การรับสารภาพ พยานจำเลยที่นำสืบจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพื่อหักล้างพยานโจทก์ได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงน่าเชื่อถือจึงรับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล่อลวงเพื่อจับกุมคดีค้าประเวณี: พยานหลักฐานขัดแย้งและขาดความน่าเชื่อถือ ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย
จำเลยเป็นหญิงบริการในสถานบริการที่มีอาหาร สุรา น้ำชา หรือเครื่องดื่มอื่นจำหน่ายและบริการ โดยมีหญิงบำเรอปรนนิบัติลูกค้า ตามวัน เวลา และสถานที่ตามฟ้องซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสามในข้อหาค้าประเวณีแต่คำเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมทั้งสามปากที่เบิกความเกี่ยวกับการชักชวนให้มีการร่วมเพศของจำเลยนั้นแตกต่างขัดแย้งกัน ไม่อาจรับฟังได้เป็นที่แน่ชัดว่าจำเลยได้ชักชวนให้พยานโจทก์ร่วมเพศจริงหรือไม่ และจำเลยได้พูดชักชวนให้ร่วมเพศ หรือเจ้าพนักงานตำรวจเพียงแต่สอบถามราคาการร่วมเพศกับจำเลย การที่พยานโจทก์เข้ามาที่ร้านที่เกิดเหตุก็เพื่อจับกุมหญิงให้บริการการค้าประเวณีโดยที่เจ้าพนักงานตำรวจไม่รู้ว่าใครให้บริการการค้าประเวณีและจำเลย ให้บริการการค้าประเวณีหรือไม่ เจ้าพนักงานตำรวจจึงล่อให้จำเลย เพื่อให้จำเลยบริการค้าประเวณีย่อมเป็นการไม่ชอบ ทั้งที่เกิดเหตุ ก็เป็นสถานบริการที่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ การที่ เจ้าพนักงานตำรวจเรียกจำเลยมาให้บริการ มีการพากันไป ให้บริการในห้องไม่ว่าจำเลยจะเข้าไปในห้องให้บริการด้วย ความเต็มใจ หรือเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามนายล่อให้ไปบริการในห้องหรือไม่ก็ตาม กรณียังไม่อาจรับฟังได้ว่า ที่จำเลยเข้าไปในห้องกับเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามนายนั้นเป็นการเข้าไปเพื่อให้บริการการค้าประเวณี ทั้งยังปรากฏในทางนำสืบของโจทก์อีกว่า มีการลวนลามจำเลยเพื่อให้มีการร่วมประเวณีเกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะจับหญิงค้าประเวณีตามที่ได้ รับมอบหมายมา ดังนี้ คำเบิกความของพยานโจทก์ที่อ้างว่า ได้มีการร่วมประเวณีกับจำเลยโดยจำเลยคิดค่าบริการจึงมีกรณี เป็นที่น่าสงสัย อีกทั้งเงินที่อ้างว่าเป็นค่าร่วมประเวณี ก็ไม่ปรากฏว่าได้ยึดเป็นของกลางไว้ พยานหลักฐานโจทก์ มีเหตุแห่งความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยเป็นผู้ให้บริการ การค้าประเวณีอันเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลให้ยกประโยชน์ แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2024/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานในคดีอาญา: การพิจารณาความขัดแย้งและพิรุธของคำเบิกความ
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน แม้พยานโจทก์ทั้งสามจะอ้างว่ารู้จักจำเลยมาก่อนเป็นเวลานานและจำเลยเป็นคน หมู่บ้านเดียวกัน แต่การที่ ส. มองลอดผ่านช่องลมออกไปแล้วเห็นและจำได้ว่าเป็นจำเลยนั้นยังน่าสงสัย เพราะลักษณะของ ช่องลมเป็นอิฐบล็อกมีช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อยู่ก้อนละ 4 ช่อง ประมาณ 10 ก้อน ประกอบกับการนั่งอยู่ตามตำแหน่งที่ ส. เบิกความนั้น สายตาจะมองเห็นได้โดยจำกัดมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเวลากลางคืน แม้ใต้ถุนบ้านผู้เสียหายซึ่งอยู่ ข้าง ๆ บ้านหลังที่ ส.ลุกออกมานั่งจะมีไฟฟ้าเปิดอยู่ก็ตามก็ไม่น่าเชื่อว่าแสงสว่างจากไฟฟ้าใต้ถุนบ้านดังกล่าวจะส่องถึง อย่างชัดเจนจนสามารถทำให้ ส. ซึ่งต้องมองลอดช่องลมออกมาเห็นได้ชัดว่าคนร้ายเป็นจำเลย ยิ่งกว่านั้นรอยงัดแงะของ คนร้ายอยู่ที่ประตูหลังบ้าน แต่พยานโจทก์ทั้งสามรู้ตัวตั้งแต่ เสียงสุนัขเห่า การที่ ส.เห็นจำเลยเดินเข้ามาจากทางหน้าบ้านเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผู้เสียหายเปิดประตูออกจากบ้านแยกกัน เดินดูเหตุการณ์กับ ง. จำเลยจะมีเวลาที่ไหนไปงัดแงะประตูได้ทัน การที่ผู้เสียหายอ้างว่า ง. ระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายให้ผู้เสียหายทราบก็แตกต่างกับคำเบิกความของ ง.เพราะง. เบิกความว่า เมื่อผู้เสียหายถามว่าจำชายที่วิ่งมาหาได้หรือไม่ ง.ตอบว่าจำได้ เป็นคนบ้านเดียวกัน เห็นกันทุกวันแต่มิได้ ระบุเจาะจงลงไปว่าเป็นจำเลย คำเบิกความที่ไม่ลงรอยกันเช่นนี้ทำให้ไม่อาจรับฟังเป็นความจริงไปทางใดทางหนึ่งได้จึงมีพิรุธอยู่ ส่วน ท. อ้างว่าคืนเกิดเหตุได้เดินกลับจากหาปลาขณะเดินมาอีก 10 เมตร จะถึงบ้านผู้เสียหายได้ยินเสียง ร้องว่า คน คน คน แล้วเห็นจำเลยวิ่งสวนพยานไปนั้น แต่เมื่อ ท. เดินผ่านบ้านผู้เสียหายเห็นคนชุมนุมกันอยู่ ผู้เสียหายบอกว่ามีคนงัดบ้าน แต่ ท. ก็ไม่สนใจฟังว่าใครเป็นคนงัดคำเบิกความของ ท. จึงขัดต่อเหตุผล รับฟังไม่ได้เพราะผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่บ้าน ท. เป็นลูกบ้านซึ่งสนใจเหตุการณ์ถึงกับย้อนกลับมาฟังว่าชุมนุมกันเรื่องอะไรหาก ท.รู้เห็นจริงมีหรือที่จะไม่เล่าเรื่องเห็นจำเลยให้ผู้เสียหายฟัง ส่วนพนักงานสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่าไม่รู้เห็นเหตุการณ์ดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่อาจฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในคดีอาญา: ความสอดคล้องของคำเบิกความกับพยานหลักฐานอื่น และเหตุผลที่น่าเชื่อถือ
คำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาจะมีน้ำหนักน่ารับฟัง หรือไม่ มากน้อยเพียงใด ต้องพิเคราะห์รายละเอียดเหตุผลแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นข้อประกอบศาลจึงอาจหยิบยกข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ปรากฏเกี่ยวข้องกับคำเบิกความของพยานนั้นในชั้นสอบสวนมาเปรียบเทียบได้หาได้ถูกจำกัดให้รับฟังได้แต่เฉพาะคำเบิกความพยานในชั้นพิจารณา ในขณะเดียวกันคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนจะมีน้ำหนักน่ารับฟังมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ปรากฏ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานและการยืนยันความน่าเชื่อถือของผู้เสียหาย
เหตุเกิดในเวลากลางวันมีแสงสว่างเต็มที่ ผู้เสียหายเห็นจำเลยได้ชัดเจนในระยะใกล้ชิดและเป็นเวลานานพอสมควรทั้งได้ชี้ให้จับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 หลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน ในขณะที่ความจำของผู้เสียหายยังดีอยู่ทั้งผู้เสียหายได้บอกกับพนักงานสอบสวนมาตั้งแต่ต้นว่าจำคนร้ายได้ เชื่อว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้จริง ส่วนที่ผู้เสียหายมาแจ้งความ ล่าช้าไป 2 วันเป็นเพราะหลังเกิดเหตุแล้วได้ออกจากบ้านจะไปแจ้งความโดยอาศัยซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มารอรถยนต์โดยสารที่ปากทาง แต่รู้สึกไม่สบายมากมีไข้ขึ้นจึงขอให้ชาวบ้านช่วยนำกลับบ้าน ซึ่งในข้อนี้แพทย์ผู้ตรวจรักษาผู้เสียหายรับว่า ผู้เสียหายมีบาดแผลเล็กน้อยที่หัวไหล่และถูกไฟลวกที่ใบหน้า น่าเชื่อว่าเหตุที่ผู้เสียหายมาแจ้งความช้าเพราะเจ็บป่วยจริงหาได้เป็นพิรุธไม่ พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 771/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของพยาน, พฤติการณ์ผิดปกติ, และการยกประโยชน์แห่งความสงสัยในคดีวางเพลิง
พฤติการณ์ของพยานที่ยินยอมออกจากบ้านไปกับจำเลยในยามค่ำมืดล่วงเลยกำหนดเวลาที่บุคคลทั่วไปจะรับประทานขนมโดยยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยทุกประการไม่ว่าจำเลยจะสั่งให้ขับรถจักรยานยนต์ไปในทิศทางใดและจอดหยุดรอณที่ใดแม้จะให้นำรถจักรยานยนต์ไปซ่อนไว้ในคูข้างถนนและเฝ้ารถจักรยานยนต์ไว้ขณะที่จำเลยกับพวกนำถึงปุ๋ยเข้าไปในโรงเรียนที่เกิดเหตุพยานก็ยินยอมปฏิบัติตามโดยดีอีกทั้งไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นตกใจเมื่อไฟไหม้โรงเรียนแต่กลับขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยกับพวกไปส่งยังสถานที่ซึ่งจำเลยซ่อนรถจักรยานยนต์ของตนไว้ทั้งๆที่ทราบดีว่าจำเลยกับพวกวางเพลิงพฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการผิดปกติวิสัยของบุคคลผู้ถูกหลอกลวงให้เดินทางไปกับคนร้ายและพบการกระทำความผิดที่ร้ายแรงเพราะโดยสัญชาตญาณของผู้ที่ประสบเหตุร้ายแรงดังกล่าวและในฐานะที่เป็นชาวมุสลิมเช่นเดียวกับประชาชนส่วนใหญ่ในละแวกที่เกิดเหตุพยานน่าที่จะร้องตะโกนบอกให้ประชาชนเหล่านั้นทราบเพื่อจะได้ช่วยกันดับเพลิงและแจ้งให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทราบในโอกาสต่อมาแต่ไม่ปรากฏว่าพยานได้ดำเนินการใดๆคงเก็บงำไว้เป็นเวลานานถึง2วันจึงเล่าให้ส. เพื่อนร่วมงานฟังเป็นการผิดปกติวิสัยของบุคคลผู้อยู่ในภาวะเช่นพยานจะพึงกระทำจึงเป็นการส่อพิรุธว่าพยานอาจจะไม่รู้เหตุการณ์ดังที่เบิกความในคืนเกิดเหตุนอกจากจะมีการวางเพลิงโรงเรียนที่เกิดเหตุแล้วยังมีการวางเพลิงโรงเรียนอื่นในเขตจังหวัดสงขลายะลาปัตตานีและนราธิวาสในเวลาเดียวกันได้ใช้วิธีการและวัสดุเชื้อเพลิงเหมือนๆกันอีกถึง37แห่งเชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการก่อการร้ายเดียวกันซึ่งดำเนินงานอย่างมีระบบโดยวางแผนกำหนดตัวบุคคลวิธีการปฏิบัติตลอดถึงวัสดุเชื้อเพลิงที่ใช้ไว้อย่างรอบคอบและรัดกุมงานก่อการร้ายจึงสำเร็จลุล่วงไปได้ตัวบุคคลผู้ดำเนินงานจึงน่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในขบวนการเดียวกันและไว้วางใจได้ไม่มีเหตุอันใดที่จะชักชวนบุคคลอื่นซึ่งอยู่นอกขบวนการให้เข้ามาทำงานเพราะอาจทำให้แผนงานที่กำหนดไว้เสียหายและยังเป็นการเปิดเผยความลับของขบวนการแก่บุคคลภายนอกอีกด้วยฉะนั้นคำเบิกความของพยานจึงขัดต่อเหตุผลไม่น่าเชื่อถือพยานหลักฐานโจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา227วรรคสอง
of 21