คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความผิดต่างกรรม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 58 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม: การกระทำความผิดต่างกรรมกัน
จำเลยที่ 2 ลักแบบพิมพ์เช็คของโจทก์ร่วมไปให้จำเลยที่ 1กรอกวันที่ จำนวนเงิน และลงลายมือชื่อปลอมของโจทก์ร่วมเป็นผู้สั่งจ่ายลงในแบบพิมพ์เช็คดังกล่าว โดยจำเลยที่ 2 นำสำเนาภาพถ่ายเช็คที่มีลายมือชื่อโจทก์ร่วมให้จำเลยที่ 1 หัดปลอมลายมือชื่อโจทก์ร่วมก่อนหลังจากปลอมเช็คแล้วจำเลยที่ 2 ได้พาจำเลยที่ 1ไปที่ธนาคารเพื่อเบิกเงินเมื่อเบิกเงินได้แล้วจำเลยที่ 2 ได้เตรียมรถแท็กซี่รออยู่และพากันกลับด้วยกัน จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม จำเลยที่ 2 ลักแบบพิมพ์เช็ค แล้วปลอมเช็คและใช้เช็คปลอมดังกล่าว มีเจตนาแยกต่างหากจากกันได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นความผิดต่างกรรมกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดต่างกรรมกับการกระทำต่อเนื่อง: การฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาและการเบิกความต่อ
การที่จำเลยยื่นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ในเรื่องเดิมนั้น เป็นการกระทำโดยมีเจตนาให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมที่จำเลยได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกันกับการที่จำเลยได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ไม่เป็นความผิดต่างกรรม แม้คำฟ้องฎีกาจะเป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (3)ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ก็ตาม
จำเลยเบิกความในคดีเรื่องเดิมครั้งแรก แต่เบิกความไม่จบปาก ศาลมีคำสั่งให้เลื่อนไปซักค้านต่อในนัดต่อไป ข้อความที่เบิกความครั้งแรกและครั้งหลังก็ต่อเนื่องกัน การเบิกความของจำเลยในครั้งหลังเจตนาที่จะให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมได้รับโทษเช่นเดียวกับการเบิกความในครั้งแรก ถือว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกัน มิใช่เป็นความผิดต่างกรรม
โจทก์ทั้งสองในคดีนี้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยร่วมกันในความผิดเดียวกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 แล้ว ดังนี้ การที่โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงฟ้องแต่เพียงคนเดียวโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 เป็นทนายความหรือได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 2 ให้เป็นผู้แทนตนในคดีนี้นั้น ฟ้องของโจทก์ที่ 2จะชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) หรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาข้อกฎหมายนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4707/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้ใช้เงินได้ ผู้ทรงเช็คมีอำนาจฟ้อง แม้จะมีการชำระหนี้แล้ว ความผิดต่างกรรมต่างวาระ
โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายย่อมมีอำนาจที่จะนำเช็คพิพาทมาฟ้องดำเนินคดีแก่จำเลยผู้ออกเช็คพิพาทได้ หลังจากโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องคดีแล้ว ส.ได้ชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์นั้นเป็นกรณีที่ความรับผิดในส่วนแพ่งเกี่ยวกับเช็คพิพาทที่มีต่อโจทก์ระงับไปเท่านั้นคดีอาญาหายกเลิกไปไม่ โจทก์ยังคงเป็นผู้เสียหายในส่วนอาญาอยู่ จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทโดยประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยที่ 2ที่ 3 ออกเช็คพิพาทในฐานะส่วนตัวต่างหากจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาท เมื่อเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงมีความผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับ จำเลยที่ 2 ที่ 3 อาจมีเจตนาใช้เงินตามเช็คแต่ละฉบับหรือไม่แตกต่างแยกกันได้ ความผิดสำหรับเช็คแต่ละฉบับจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน หาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวกันไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5968/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยในความผิดต่างกรรมกัน และอำนาจศาลอุทธรณ์ในการสั่งริบของกลาง แม้โจทก์ไม่เคยอุทธรณ์
การที่จำเลยมีอาวุธปืนติดตัวและการที่จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวจี้ขู่เข็ญ ป. จนทำให้ตก ใจกลัว เป็นการกระทำที่มีเจตนาแยกจากกันได้ เป็นความผิดต่างกรรม ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) คำพิพากษาต้องมีคำวินิจฉัยเรื่องของกลางด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนของกลางที่ใช้กระทำผิด และท้ายฟ้องมีคำขอให้ศาลริบอาวุธปืนของกลางด้วย ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยเรื่องอาวุธปืนของกลางและไม่สั่งริบอาวุธปืนอันเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิด จึงเป็นการไม่ชอบ แม้ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ เสียให้ถูกต้องได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษอาญาและบทบัญญัติความผิดต่างกรรมกัน ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงได้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี เป็นบทบัญญัติที่เพิ่มโทษของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 มาตรา 339 ทวิ มาตรา 340 หรือมาตรา 340 ทวิ ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7 และมาตรา 8 ทวิ นั้น เป็นความผิดต่างกรรมกัน ซึ่งประมวลกฎมายอาญามาตรา 91 บัญญัติให้ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1398/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงและการออกเช็คเด้งเป็นความผิดต่างกรรมกัน โจทก์ฎีกาฟังขึ้น ศาลนับโทษเฉพาะคดีที่มีคำพิพากษาแล้ว
จำเลยหลอกลวงและได้ไปซึ่งทรัพย์ตามที่หลอกลวงจากผู้เสียหายอันเป็นความผิดสำเร็จฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 แล้ว ในวันต่อมาจึงได้ออกเช็คมอบให้ผู้เสียหายเพื่อเป็นการชำระหนี้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คซึ่งถือได้ว่าเป็นการกระทำต่างหากจากการกระทำอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงในตอนต้น เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3 อีกกรรมหนึ่ง
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์บรรยายฟ้องกำกวมก็ดี จำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงก็ดี เมื่อฎีกาของจำเลยไม่มีสาระว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)อย่างไร ทั้งจำเลยก็รับสารภาพตามฟ้อง ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
โจทก์ขอให้นับโทษต่อจากคดีอื่นของศาลชั้นต้นหลายคดี แต่ปรากฏจากคำร้องของโจทก์ว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยแล้วเพียงคดีเดียว จึงนับโทษต่อได้เฉพาะคดีดังกล่าวเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1398/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงและการออกเช็คโดยไม่มีเจตนาให้ใช้ได้เป็นความผิดต่างกรรมกัน และการนับโทษต่อจากคดีอื่น
จำเลยหลอกลวงและได้ไปซึ่งทรัพย์ตามที่หลอกลวงจากผู้เสียหายอันเป็นความผิดสำเร็จฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341แล้ว ในวันต่อมาจึงได้ออกเช็คมอบให้ผู้เสียหายเพื่อเป็นการชำระหนี้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คซึ่งถือได้ว่าเป็นการกระทำต่างหากจากการกระทำอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงในตอนต้น เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3 อีกกรรมหนึ่ง
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์บรรยายฟ้องกำกวมก็ดี จำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงก็ดี เมื่อฎีกาของจำเลยไม่มีสาระว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)อย่างไร ทั้งจำเลยก็รับสารภาพตามฟ้อง ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
โจทก์ขอให้นับโทษต่อจากคดีอื่นของศาลชั้นต้นหลายคดี แต่ปรากฏจากคำร้องของโจทก์ว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยแล้วเพียงคดีเดียว จึงนับโทษต่อได้เฉพาะคดีดังกล่าวเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173-1174/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีเช็ค และการพิจารณาว่าการออกเช็คหลายฉบับเป็นความผิดกรรมเดียวหรือต่างกรรมกัน
ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯมาตรา3โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คลงวันที่เท่าใดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินในวันใดถึงแม้จะมิได้กล่าวว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเวลาใดก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)เพราะเป็นที่เห็นได้ว่าปฏิเสธการจ่ายเงินในเวลากลางวันอันเป็นเวลาทำการของธนาคาร การที่จำเลยออกเช็คสองฉบับชำระหนี้ให้โจทก์คนเดียวก็ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะออกเช็คมิให้มีการชำระเงินตามเช็คในแต่ละฉบับอันเป็นการกระทำผิดสองกรรมต่างกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 667/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมและใช้เอกสารสิทธิหลายประเภทเป็นความผิดต่างกรรมกัน แม้กระทำในวันเดียวกัน
เดิมโจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมและใช้ใบสมัครกับใบเสร็จรับเงินปลอม 33 ฉบับ ต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องโดยยกเลิกใบสมัครและใบเสร็จรับเงินที่หาว่าจำเลยปลอม 4 ฉบับ แล้วต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องโดยขอเพิ่มใบเสร็จรับเงินที่หาว่าจำเลยปลอมและใช้อีก 4 ฉบับ จำนวนเอกสารที่โจทก์ฟ้องจึงคงมีเท่าเดิมคือ 33 ฉบับ ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอมรวม 33 ฉบับจึงมิได้เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
แม้จำเลยจะปลอมและใช้ใบสมัครปลอมในวันเดียวกับใบเสร็จรับเงินก็ตาม แต่ก็เป็นการปลอมและใช้เอกสารปลอมคนละประเภท คือ ใบสมัครเป็นจำนวนเงินค่าสมัครสอบ ส่วนใบเสร็จรับเงินเป็นเงินชำระตามรายการอื่น ทั้งจำนวนเงินที่ชำระก็ต่างกัน จึงเป็นความผิดต่างกรรมหาใช่กรรมเดียวกันไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3759/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลูกกัญชาและครอบครองกัญชาเป็นความผิดต่างกรรมกัน หากไม่พิสูจน์ได้ว่ากัญชาที่ครอบครองเป็นผลผลิตจากที่ปลูก
จำเลยปลูกกัญชาจำนวน 10 ต้น กับมีกัญชาไว้ในความครอบครองจำนวน 1 ถุง น้ำหนัก 1,100 กิโลกรัม โดยไม่ปรากฏว่ากัญชาที่จำเลยมีไว้ในครอบครองคือส่วนหนึ่งของผลผลิตซึ่งเกิดจากต้นกัญชาที่จำเลยปลูก จึงถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรม
of 6