พบผลลัพธ์ทั้งหมด 57 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1334/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานเนื่องจากยื่นบัญชีระบุพยานเกินกำหนด และการพิจารณาความเหมาะสมในการดูแลบุตร
จำเลยมีเวลายื่นบัญชีระบุพยานได้นับแต่วันชี้สองสถาน ถึงวันที่มีการสืบพยานโจทก์เป็นระยะเวลาเกือบ 8 เดือน แต่จำเลยไม่ยื่นเพิ่งจะมายื่นบัญชีระบุพยานเมื่อพ้นวันสืบพยานโจทก์นัดแรกแล้ว6 วัน อ้างว่ามิได้จงใจ เป็นความพลั้งเผลอของเสมียนทนายจำเลยข้ออ้างของจำเลยปราศจากเหตุผลไม่อาจรับฟังได้ ดังนี้ ไม่มีเหตุสมควรที่จะรับบัญชีระบุพยานของจำเลย หลังจากจำเลยหย่าร้างกับโจทก์แล้ว จำเลยนำภริยาเก่าและบุตรซึ่งเกิดจากภรรยาเก่ามาอยู่ร่วมด้วย จำเลยชอบดื่ม สุราและกลับบ้านดึกเป็นประจำ ส่วนโจทก์ยังไม่ได้สมรสใหม่ หลังจากโจทก์จำเลยแยกกันอยู่แล้วโจทก์พาบุตรผู้เยาว์ไปอุปการะเลี้ยงดูตามลำพัง บุตรผู้เยาว์ได้รับความอบอุ่นและใกล้ชิดกับโจทก์ซึ่งเป็นมารดา โดยโจทก์ไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ในการปกครองบุตรผู้เยาว์โดยมิชอบหรือประพฤติชั่วร้ายแต่อย่างใด เมื่อคำนึงถึงประโยชน์และความผาสุกของบุตรผู้เยาว์ที่จะได้รับต่อไปในอนาคตแล้วการให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์ต่อไปย่อมมีความเหมาะสมยิ่งกว่าให้ไปอยู่ในความปกครองของจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ: ศาลมีดุลพินิจพิจารณาความเหมาะสมและความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์
การอนุญาตให้บุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนผู้มรณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 43 ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงความเหมาะสมและเหตุสมควร โดยศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ แม้โจทก์จำเลยจะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็เป็นคู่ความฝ่ายตรงกันข้ามและเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หากยอมให้โจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลย โจทก์ย่อมต้องดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นคุณแก่โจทก์ อันเป็นการขัดต่อความประสงค์ของจำเลยผู้มรณะอย่างเห็นได้ชัด ศาลชอบที่จะไม่อนุญาตให้โจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3035/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตรและการเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดู: พิจารณาความเหมาะสมของผู้เลี้ยงดูและความเป็นอยู่ที่ดีของบุตร
โจทก์จำเลยต่างสามารถเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ แต่การให้บุตรผู้เยาว์อยู่กับโจทก์เป็นการไม่สะดวก เพราะโจทก์กลับบ้านได้เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ส่วนการให้บุตรผู้เยาว์อยู่กับมารดาได้รับความอบอุ่นมากกว่าเพราะอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา จึงสมควรให้จำเลยเป็นผู้ปกครองบุตรผู้เยาว์ และแม้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์จะตกแก่จำเลยก็ตาม โจทก์มีสิทธิจะติดต่อกับบุตรผู้เยาว์ได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์
คดีก่อนถึงที่สุดโดยศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้งโจทก์ในนี้ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้อีก ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คดีก่อนถึงที่สุดโดยศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้งโจทก์ในนี้ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้อีก ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3035/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตรและการเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูหลังหย่า โดยพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละฝ่าย
โจทก์จำเลยต่าง สามารถเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ แต่การให้บุตรผู้เยาว์อยู่กับโจทก์เป็นการไม่สะดวก เพราะโจทก์กลับบ้านได้เฉพาะ วันเสาร์-อาทิตย์ ส่วนการให้บุตรผู้เยาว์อยู่กับมารดาได้ รับความอบอุ่นมากกว่าเพราะอยู่ใกล้ชิดตลอด เวลา จึงสมควรให้จำเลยเป็นผู้ปกครองบุตรผู้เยาว์ และแม้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์จะตก แก่จำเลยก็ตาม โจทก์มีสิทธิจะติดต่อ กับบุตรผู้เยาว์ได้ตาม สมควรแล้วแต่ พฤติการณ์ คดีก่อนถึง ที่สุดโดย ศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้งโจทก์ในนี้ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ อีก ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดโทษรับของโจรและการนับโทษต่อจากคดีอื่น ศาลฎีกาพิจารณาความเหมาะสมของโทษและมีอำนาจสั่งนับโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษคดีอื่นของศาลชั้นต้น จำเลยรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ แม้ขณะที่คดีนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ คดีดังกล่าวจะยังไม่ได้พิพากษา เพิ่งจะมีคำพิพากษาเมื่อคดีนี้อยู่ในชั้นฎีกาโดยโจทก์ได้ยื่นคำแถลงให้ศาลทราบแล้ว เช่นนี้ เป็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะสั่งให้นับโทษต่อได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4298/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลในการรับฟังพยานหลักฐานเสริมความน่าเชื่อถือของจำเลย และการลงโทษตามความเหมาะสม
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษในสถานเบาหรือรอการลงโทษโดยอ้างถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ในคดีและความประพฤติของจำเลยข้อเท็จจริงในเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงสนับสนุนข้ออ้างตามที่จำเลยอุทธรณ์ โจทก์มิได้แก้อุทธรณ์คัดค้านเอกสารดังกล่าวว่าไม่ถูกต้อง ดังนี้ จึงเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะรับฟังหรือไม่รับฟังข้อเท็จจริงในเอกสารดังกล่าวทั้งไม่มีกฎมหายห้ามศาลใช้ดุลพินิจให้เป็นคุณแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3241/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางจำเป็น: พิจารณาความเหมาะสมของเส้นทางและหน้าที่ชดใช้ค่าเสียหาย
ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินของบุคคลอื่นล้อมอยู่ ทางออกสู่ทางสาธารณะอีก 3 ทาง มีลักษณะคดเคี้ยว ระยะทางไกลกว่าทางพิพาทต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นหลายแปลง และต้องผ่านที่นามีน้ำเจิ่ง เต็มทางพิพาทมีความเหมาะสมกว่า ทั้งยังความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุด โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้ ป.พ.พ. มาตรา 1349 มิได้บังคับว่าผู้ร้องขอใช้ทางจำเป็นต่อศาลจะต้องเสนอขอจ่ายค่าทดแทนความเสียหายให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มาพร้อมกับคำขอด้วย เพียงแต่ระบุให้ผู้ร้องมีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทนเท่านั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ขอจ่ายค่าทดแทนมาในฟ้องแต่โจทก์ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะจ่าย จำเลยยังคงมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าทดแทนดังกล่าวจากโจทก์ได้อยู่ จึงไม่เป็นเหตุที่จะบังคับตามคำขอของโจทก์ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2859/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจนายจ้างโยกย้ายลูกจ้างภายในบริษัท และการเลิกจ้างอันชอบธรรมจากการฝ่าฝืนคำสั่ง
การที่ลูกจ้างแจ้งความชำนาญหรือความถนัดของตนในการสมัครงานและนายจ้างมีคำสั่งรับเข้าทำงานในแผนกใดแล้ว ไม่เป็นการผูกพันนายจ้างที่จะต้องให้ลูกจ้างทำงานในแผนกนั้นตลอดไปหากต่อมามีความจำเป็น มีความเหมาะสม นายจ้างมีอำนาจย้ายลูกจ้างไปทำงานในแผนกอื่นในบริษัทเดียวกันโดยลูกจ้างคงได้รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิมได้
โจทก์ไม่สามารถเข้ากันได้กับผู้บังคับบัญชา จำเลยผู้เป็นนายจ้างมีอำนาจย้ายโจทก์ไปทำงานในแผนกใหม่เพื่อความเหมาะสมได้ และโจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเพราะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งโดยไม่ยอมลงชื่อทราบคำสั่ง ไม่ไปรายงานตัวเพื่อทำงานในแผนกใหม่ และจำเลยได้ออกคำเตือนเป็นหนังสือมากกว่า 3 ครั้งแล้วจำเลยจึงมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย การเลิกจ้างดังกล่าวไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและจำเลยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
โจทก์ไม่สามารถเข้ากันได้กับผู้บังคับบัญชา จำเลยผู้เป็นนายจ้างมีอำนาจย้ายโจทก์ไปทำงานในแผนกใหม่เพื่อความเหมาะสมได้ และโจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเพราะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งโดยไม่ยอมลงชื่อทราบคำสั่ง ไม่ไปรายงานตัวเพื่อทำงานในแผนกใหม่ และจำเลยได้ออกคำเตือนเป็นหนังสือมากกว่า 3 ครั้งแล้วจำเลยจึงมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย การเลิกจ้างดังกล่าวไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและจำเลยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1715/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับโจทก์ชาวต่างชาติ และการพิจารณาจำนวนเงินที่เหมาะสม
โจทก์เป็นคนสัญชาติอังกฤษ มิได้มีภูมิลำเนาในประเทศไทยฟ้องว่าจำเลยทำละเมิด จำเลยจึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องพิจารณาว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะคดีเพราะศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่ชนะคดีเสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 100,269,743 บาท ซึ่งหากโจทก์แพ้คดี และศาลชั้นต้นให้โจทก์ชดใช้ค่าทนายความเพียงกึ่งหนึ่งของอัตราที่กฎหมายกำหนดคือร้อยละ 2 ครึ่ง โดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก็จะเป็นเงินค่าทนายความถึง 2,500,000 บาทเศษที่ศาลชั้นต้นให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย 750,000 บาท จึงมิใช่จำนวนที่สูงเกินสมควร
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 100,269,743 บาท ซึ่งหากโจทก์แพ้คดี และศาลชั้นต้นให้โจทก์ชดใช้ค่าทนายความเพียงกึ่งหนึ่งของอัตราที่กฎหมายกำหนดคือร้อยละ 2 ครึ่ง โดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก็จะเป็นเงินค่าทนายความถึง 2,500,000 บาทเศษที่ศาลชั้นต้นให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย 750,000 บาท จึงมิใช่จำนวนที่สูงเกินสมควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตรและการพิจารณาความเหมาะสมในการอุปการะเลี้ยงดูหลังการเลิกอยู่กิน
โจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวด้วยทรัพย์และอำนาจปกครองบุตรจึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองจำเลยมีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงได้รวมทั้งข้อเรียกร้องคืนทรัพย์ด้วย
แม้จำเลยซึ่งเป็นบิดาจะมีรายได้และฐานะดีกว่าโจทก์ แต่โจทก์ซึ่งเป็นมารดาก็มีอำนาจปกครองบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ซึ่งแก้ไขใหม่และ ใช้บังคับในขณะพิพาท และเมื่อเลิกอยู่กินกับจำเลยแล้วโจทก์ทำงานได้เงินเดือน ๆ ละ 2,000 บาท ได้ค่าเช่าห้องแถวเดือนละ 1,200 บาทกับมีที่ดินอีก 2 แปลงราคารวมกันประมาณ 500,000 บาท ญาติทุกคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือโจทก์ในการอุปการะเลี้ยงดูเด็ก โจทก์สามารถอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่บุตรทั้งสองได้ ทั้งโจทก์และจำเลยอยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 4 คน การให้บุตรคนเล็ก 2 คนอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์ดังขอจึงเป็นการสมควรทั้งนี้ตามบรรพ 5 ที่แก้ไขใหม่ที่ใช้บังคับในขณะพิพาท
แม้จำเลยซึ่งเป็นบิดาจะมีรายได้และฐานะดีกว่าโจทก์ แต่โจทก์ซึ่งเป็นมารดาก็มีอำนาจปกครองบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ซึ่งแก้ไขใหม่และ ใช้บังคับในขณะพิพาท และเมื่อเลิกอยู่กินกับจำเลยแล้วโจทก์ทำงานได้เงินเดือน ๆ ละ 2,000 บาท ได้ค่าเช่าห้องแถวเดือนละ 1,200 บาทกับมีที่ดินอีก 2 แปลงราคารวมกันประมาณ 500,000 บาท ญาติทุกคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือโจทก์ในการอุปการะเลี้ยงดูเด็ก โจทก์สามารถอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่บุตรทั้งสองได้ ทั้งโจทก์และจำเลยอยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 4 คน การให้บุตรคนเล็ก 2 คนอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์ดังขอจึงเป็นการสมควรทั้งนี้ตามบรรพ 5 ที่แก้ไขใหม่ที่ใช้บังคับในขณะพิพาท