พบผลลัพธ์ทั้งหมด 105 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4926/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงยอมแพ้ตามคำท้า: ศาลต้องวินิจฉัยตามคำท้าเท่านั้น
คำท้ามีว่าหาก ส.เบิกความว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยยอมแพ้ หาก ส.เบิกความว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ยอมแพ้ แต่คำเบิกความของ ส.มิได้เบิกความว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงรับฟังไม่ได้ว่า ส.เบิกความตรงตามคำท้าแล้ว ศาลย่อมไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดให้เป็นไปตามคำท้าของโจทก์จำเลยดังกล่าวได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยถือเอาข้อเท็จจริงอื่นซึ่งไม่ได้อยู่ในข้อท้าของคู่ความมาวินิจฉัยนั้น ย่อมเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่คู่ความท้ากัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4926/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าไม่ชัดเจน ศาลไม่อาจวินิจฉัยตามคำท้าได้ การวินิจฉัยนอกประเด็นที่ท้ากันเป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษา
คำท้ามีว่าหาก ส.เบิกความว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยยอมแพ้ หาก ส.เบิกความว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโจทก์ยอมแพ้ แต่คำเบิกความของ ส. มิได้เบิกความว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงรับฟังไม่ได้ว่าส.เบิกความตรงตามคำท้าแล้ว ศาลย่อมไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดให้เป็นไปตามคำท้าของโจทก์จำเลยดังกล่าวได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยถือเอาข้อเท็จจริงอื่นซึ่งไม่ได้อยู่ในข้อท้าของคู่ความมาวินิจฉัยนั้น ย่อมเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่คู่ความท้ากัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1415/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าพิพาทมรดก: การท้าความถูกต้องของทรัพย์มรดกที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่จำเลยยอมรับ ย่อมไม่ขัดต่อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นทายาทคนหนึ่งที่มีสิทธิรับมรดกของนางตุ้น ผู้ซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่18มีนาคม2525โดยมิได้นำพินัยกรรมหรือตั้งผู้จัดการมรดกไว้และจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางตุ้นตามคำสั่งศาลแต่จำเลยไม่แบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ตามส่วนและให้กำจัดจำเลยมิให้รับมรดกจำเลยให้การต่อสู้คดีว่านางตุ้นยกที่พิพาทให้แก่จำเลยต. พ. และส.แล้วตั้งแต่ปี2518ขณะนางตุ้น ยังมีชีวิตอยู่และจำเลยต. พ.และส. ต่างครอบครองที่พิพาทตามส่วนของตนที่นางตุ้นยกให้ติดต่อกันมาตั้งแต่ปี2518จนถึงปี2533หลังจากนางตุ้นตายแล้วจำเลยจึงยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางตุ้นต่อศาลก็เพื่อเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนจากนางตุ้น มาเป็นจำเลยต. พ. และส. เท่านั้นไม่เกี่ยวกับทายาทอื่นอันเป็นการให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยต.พ. และส. แล้วไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนางตุ้น ปัญหาที่ว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางตุ้นหรือไม่จึงเป็นปัญหาที่โจทก์และจำเลยยังโต้เถียงกันอยู่มิได้เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยยอมรับแล้วซึ่งในการที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานไว้ก็ต้องวินิจฉัยถึงปัญหาดังกล่าวด้วยการที่คู่ความหยิบยกเอาปัญหาดังกล่าวมาท้ากันจึงไม่ขัดต่อกฎหมายไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนทั้งในการท้ากันก็ไม่จำต้องท้ากันตรงตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้คำท้าดังกล่าวไม่เป็นโมฆะ คู่ความตกลงท้ากันว่าถ้าย. ล. ผ. ส. นายวินนายวัน และถ. สาบานต่อหน้าศาลแล้วตอบคำถามศาลถ้ามี4คนขึ้นไปยื่นยันว่าที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกของนางตุ้นจำเลยยอมแพ้ถ้ามี4คนขึ้นไปยืนยันว่าไม่ใช่มรดกของนางตุ้นโจทก์ยอมแพ้ถ้าไม่มีบุคคลใดยอมสาบานและไม่ยืนยันว่าที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกของนางตุ้น หรือไม่ก็ให้ถือเสียงข้างมากแทนปรากฎว่าย. และนายวัน สาบานและตอบคำถามศาลว่าที่ดินดังกล่าวจะเป็นทรัพย์มรดกของนางตุ้นหรือไม่ไม่ทราบล. ผ.ส. และนายวิน สาบานและตอบคำถามศาลว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนางตุ้น ส่วนถ. สาบานตนและตอบคำถามศาลว่าที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกของนางตุ้น ดังนี้ที่ศาลล่างทั้งสองให้โจทก์แพ้คดีตามคำท้าชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดที่ดินพิพาทและการวินิจฉัยคดีตามคำท้า หากการรังวัดไม่สามารถระบุขอบเขตได้ ศาลต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
โจทก์และจำเลยแถลงต่อพิพากษาขอให้สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดทำแผนที่พิพาท หากทำแผนที่พิพาทแล้วปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8049หรืออยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 แล้ว โจทก์ยอมแพ้ แต่ถ้าอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 แล้วจำเลยยอมแพ้ โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยานกันต่อไป ดังนั้น เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจแผนที่พิพาทกับระวางที่ดินตามรูปโฉนดเดิมแล้วแถลงว่า ไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินแปลงใดแน่ เนื่องจากไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอน ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่า ปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใดตามตกลงท้ากัน และศาลจะตรวจดูแผนที่พิพาทเปรียบเทียบกับระวางแผนที่เสียเองก็ไม่ได้ ศาลจึงไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้เป็นไปตามคำท้าได้คำท้าเป็นอันตกไป ศาลชั้นต้นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าชี้ขาดคดีต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลง หากเงื่อนไขไม่เป็นไปตามนั้น คำท้าเป็นอันตกไป ศาลต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
โจทก์และจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นขอให้สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดทำแผนที่พิพาทหากพนักงานเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาทแล้วปรากฏว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8049หรือนอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วโจทก์ยอมแพ้แต่ถ้าหากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วจำเลยยอมแพ้โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานหลักฐานต่อไปต่อมาเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาทเสร็จแล้วไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่าที่พิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินแปลงใดเนื่องจากไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอนจึงยังถือไม่ได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใดศาลจึงยังไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้เป็นไปตามคำท้าของโจทก์และจำเลยได้ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นตรวจดูแผนที่พิพาทและระวางแผนที่อีกครั้งหนึ่งแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดชี้สองสถานแล้วพิพากษาโดยนำตำแหน่งของที่พิพาทมาเปรียบเทียบกับระวางแผนที่แล้ววินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033ให้จำเลยแพ้คดีตามคำท้าจึงเป็นการไม่ชอบเพราะไม่ตรงตามคำท้าของโจทก์และจำเลยที่ตกลงกันกรณีเช่นนี้ถือได้ว่าคำท้าของโจทก์จำเลยย่อมเป็นอันตกไปศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินการชี้สองสถานหากจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงก็ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดที่ดินพิพาท & ผลของคำท้าที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามข้อตกลง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีโดยไม่ชอบ
โจทก์และจำเลยแถลงต่อพิพากษาขอให้สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดทำแผนที่พิพาทหากทำแผนที่พิพาทแล้วปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8049หรืออยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วโจทก์ยอมแพ้แต่ถ้าอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วจำเลยยอมแพ้โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยานกันต่อไปดังนั้นเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจแผนที่พิพาทกับระวางที่ดินตามรูปโฉนดเดิมแล้วแถลงว่าไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินแปลงใดแน่เนื่องจากไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอนดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใดตามตกลงท้ากันและศาลจะตรวจดูแผนที่พิพาทเปรียบเทียบกับระวางแผนที่เสียเองก็ไม่ได้ศาลจึงไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้เป็นไปตามคำท้าได้คำท้าเป็นอันตกไปศาลชั้นต้นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละประเด็นข้อพิพาททางคำท้าและข้อจำกัดการอุทธรณ์ซ้ำ การดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำท้า
ปัญหาว่าจำเลยแต่ฝ่ายเดียวจะถอนคำท้าที่ให้ส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้โดยโจทก์ไม่ยินยอมได้หรือไม่นั้น จำเลยเคยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 มาครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยว่า คำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานไว้โดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติ จำเลยหาอาจยกเลิกคำท้าแต่ฝ่ายเดียวได้ไม่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำท้าแล้ว ศาลชั้นต้นจะต้องพพากษาไปตามข้อตกลงนั้นให้ตรงตามคำท้าทุกประการ จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แล้ว จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาดังกล่าวอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 144 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้อีกก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การพิพากษาให้ตรงตามคำท้าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1นั้น หมายถึงการที่จะต้องส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่ แล้วพิพากษาไปตามคำท้าอันมีผลเป็นการสละประเด็นข้อพิพาทอื่นด้วย เมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและพิพากษาใหม่แล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้ว
การพิพากษาให้ตรงตามคำท้าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1นั้น หมายถึงการที่จะต้องส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่ แล้วพิพากษาไปตามคำท้าอันมีผลเป็นการสละประเด็นข้อพิพาทอื่นด้วย เมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและพิพากษาใหม่แล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว และผลของการสละประเด็นข้อพิพาทด้วยคำท้า
จำเลยเคยยื่นอุทธรณ์มาครั้งหนึ่งซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วและพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่แล้วจำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาเดียวกันนั้นอีกจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144 นอกจากศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ในอุทธรณ์เดิมว่าจำเลยฝ่ายเดียวไม่อาจถอนคำท้าได้ยังวินิจฉัยต่อไปว่าศาลจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงให้ตรงตามคำท้าทุกประการแม้จำเลยจะแถลงรับว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เป็นของตนก็ไม่ทำให้คำท้าสิ้นผลไปดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและคำพิพากษาใหม่ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้วไม่จำเป็นต้องนำสืบในประเด็นว่าข้อความในสัญญากู้ปลอมหรือไม่อีกต่อไปเพราะจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าพิสูจน์ลายมือชื่อและการดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ การสละประเด็นข้อพิพาท
ปัญหาว่าจำเลยแต่ฝ่ายเดียวจะถอนคำท้าที่ให้ส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้โดยโจทก์ไม่ยินยอมได้หรือไม่นั้นจำเลยเคยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค1มาครั้งหนึ่งแล้วซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค1ได้วินิจฉัยว่าคำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานไว้โดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติจำเลยหาอาจยกเลิกคำท้าแต่ฝ่ายเดียวได้ไม่แต่เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำท้าแล้วศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงนั้นให้ตรงตามคำท้าทุกประการจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แล้วจำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาดังกล่าวอีกจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144แม้ศาลอุทธรณ์ภาค1จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้อีกก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การพิพากษาให้ตรงตามคำท้าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1นั้นหมายถึงการที่จะต้องส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่แล้วพิพากษาไปตามคำท้าอันมีผลเป็นการสละประเด็นข้อพิพาทอื่นด้วยเมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและพิพากษาใหม่แล้วจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีตามคำท้าของคู่ความ และการขอพิจารณาใหม่หลังคำพิพากษาถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาไปตามคำท้าของคู่ความ มิใช่เป็นกรณีการพิจารณาโดยขาดนัด อันจะเป็นเหตุให้คู่ความร้องขอให้มีการพิจารณาใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ถ้าจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจวินิจฉัยไปตามคำท้า ก็จะต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไป จะขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้