คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำเบิกความ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 104 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3523/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำเบิกความ/ให้การที่ไม่เป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิด/ผู้ต้องหา มีน้ำหนักรับฟังได้เป็นพยานหลักฐาน
แม้ว่าในคดีความผิดฐานฆ่า ธ. ส. ถูกฟ้องว่าร่วมกับ ก.ฆ่า ธ. ผู้ตาย พนักงานสอบสวนได้กัน ก. เป็นพยาน และพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ก. ก็ตาม แต่ก็เป็นการกันเป็นพยานและสั่งไม่ฟ้องในคดีดังกล่าวเท่านั้นเมื่อคดีนี้ซึ่งเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนให้ ส. กับพวกฆ่า ธ. นั้นพนักงานสอบสวนหาได้กัน ก. เป็นพยานไม่ และพนักงานอัยการก็มิได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง ก. ด้วย ดังนั้นคำเบิกความของ ก. ในชั้นศาลคดีนี้จึงไม่ใช่คำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน และคำให้การของ ก. ในชั้นสอบสวนคดีนี้ก็มิใช่คำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ และศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของ ส. ในคดีความผิดฐานฆ่า ธ. ผู้ตายมาฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ความผิดของจำเลยคดีนี้ได้ เพราะถือว่าคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นพฤติเหตุแวดล้อมกรณี แม้มิได้นำ ส. มาเบิกความรับรองอีกก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2480/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความคลาดเคลื่อนของปีในคำเบิกความของผู้เสียหาย ไม่ถือเป็นเหตุให้ศาลต้องยกฟ้อง
ลำพังคำเบิกความของพนักงานตำรวจผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนพยานโจทก์ทั้งสองปากประกอบบันทึกการจับกุม ข้อเท็จจริงก็พอฟังได้แล้วว่า เหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2536 ตรงตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวในฟ้อง การที่ผู้เสียหายเบิกความถึงวันและเดือนที่เกิดเหตุถูกต้อง ผิดไปแต่เพียงเป็น พ.ศ.2526แทนที่จะเป็น พ.ศ.2536 น่าจะเป็นเพราะความพลั้งเผลอหรือหลงลืม คำเบิกความของผู้เสียหายผิดไปเพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง อันจะเป็นเหตุให้ศาลต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2480/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความคลาดเคลื่อนปีเกิดในคำเบิกความของผู้เสียหาย ไม่ถึงขั้นทำให้ศาลต้องยกฟ้อง
ลำพังคำเบิกความของพนักงานตำรวจผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนพยานโจทก์ทั้งสองปากประกอบบันทึกการจับกุม ข้อเท็จจริงก็พอฟังได้แล้วว่า เหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2536 ตรงตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวในฟ้อง การที่ผู้เสียหายเบิกความถึงวันและเดือนที่เกิดเหตุถูกต้อง ผิดไปแต่เพียงเป็น พ.ศ. 2526 แทนที่จะเป็นพ.ศ. 2536 น่าจะเป็นเพราะความพลั้งเผลอหรือหลงลืม คำเบิกความของผู้เสียหายผิดไปเพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องอันจะเป็นเหตุให้ศาลต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2480/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความคลาดเคลื่อนปีเกิดเหตุในคำเบิกความพยาน ไม่ทำให้ข้อเท็จจริงต่างจากฟ้องจนต้องยกฟ้อง
ลำพังคำเบิกความของพนักงานตำรวจผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนพยานโจทก์ทั้งสองปากประกอบบันทึกการจับกุมข้อเท็จจริงก็พอฟังได้แล้วว่าเหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่26ธันวาคม2536ตรงตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวในฟ้องการที่ผู้เสียหายเบิกความถึงวันและเดือนที่เกิดเหตุถูกต้องผิดไปแต่เพียงเป็นพ.ศ.2526แทนที่จะเป็นพ.ศ.2536น่าจะเป็นเพราะความพลั้งเผลอหรือหลงลืมคำเบิกความของผู้เสียหายผิดไปเพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องอันจะเป็นเหตุให้ศาลต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 827/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานที่อาจมีอิทธิพลจากคำเบิกความของพยานก่อนหน้า ศาลต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือ
การที่พยานฟังคำเบิกความของพยานคนก่อน ซึ่งได้เบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว แม้จะเป็นคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ก็ต้องด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 114 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 เพราะโดยเจตนารมณ์ของกฎหมายหากพยานที่เบิกความภายหลังได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อนมาแล้วไม่ว่าจะเป็นคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือชั้นพิจารณา ผลก็คืออาจทำให้คำพยานที่เบิกความภายหลังไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเช่นเดียวกัน กรณีจึงใช้บังคับได้ทั้งในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณา
แม้ตามบทบัญญัติดังกล่าวจะมิได้บังคับมิให้ศาลรับฟังคำเบิกความพยานที่เบิกความภายหลังซึ่งได้ฟังคำเบิกความของพยานตนก่อนก็ตาม แต่หากปรากฎว่า คำเบิกความของพยานที่เบิกความภายหลังอาจเปลี่ยนแปลงไปโดยฟังคำเบิกความของพยานคนก่อนหรือสามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้คำเบิกความของพยานที่เบิกความภายหลังก็เป็นการผิดระเบียบ ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อฟังได้ และคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ต้องคัดค้านก่อนที่จะมีการนำพยานเข้าสืบเพราะเมื่อยังไม่ปรากฎว่าพยานจะเบิกความเป็นที่เชื่อถือฟังได้หรือไม่ และสามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้หรือไม่ ก็ต้องให้พยานเบิกความไปก่อนเพื่อศาลจะได้ใช้ดุลพินิจในการรับฟังว่าเป็นการผิดระเบียบหรือไม่ และกรณีดังกล่าวเป็นคนละเรื่องกับที่บัญญัติใน ป.วิ.พ. มาตรา 95 วรรคสอง ประกอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 827/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานที่ได้ยินคำเบิกความของพยานก่อนหน้า: หลักการผิดระเบียบและผลต่อการรับฟัง
การที่ น. พยานฟังคำเบิกความของ ว. ซึ่งได้เบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว แม้จะเป็นการเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องกรณีก็ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 114ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แม้มาตรา 114 จะมิได้เป็นการบังคับมิให้ศาลรับฟังคำเบิกความของ น.ซึ่งได้ฟังคำเบิกความของ ว. มาแล้วก็ตาม แต่หากปรากฏว่าคำเบิกความของ น. อาจเปลี่ยนแปลงไปโดยฟังคำเบิกความของ ว.หรือสามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้ คำเบิกความของ ว. ก็เป็นการผิดระเบียบ ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อฟังได้เมื่อปรากฏว่า น. เบิกความโดยรู้เห็นเหตุการณ์ร่วมกับ ว.ดังนั้น คำเบิกความของ น. จึงอาจเปลี่ยนแปลงไปโดยฟังคำเบิกความของ ว. และสามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้เป็นคำเบิกความที่ผิดระเบียบ ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อฟังได้กรณีดังกล่าวจำเลยไม่ต้องคัดค้านก่อนที่โจทก์จะนำน.เข้าสืบเพราะเมื่อยังไม่ปรากฏว่าพยานจะเบิกความเป็นที่เชื่อถือฟังได้หรือไม่และสามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้หรือไม่ก็ต้องให้พยานเบิกความไปก่อน เพื่อศาลจะได้ใช้ดุลพินิจในการรับฟังว่าเป็นการผิดระเบียบหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5509/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวน: ศาลอุทธรณ์พิจารณาจากคำเบิกความที่ไม่มีในสำนวนเป็นเหตุให้ต้องพิจารณาใหม่
โจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์เบิกความยืนยันว่าลายมือชื่อให้ความยินยอมที่ปรากฏเป็นชื่อโจทก์เป็นลายมือปลอม และไม่มีส่วนคล้ายกับลายมือชื่อโจทก์ที่แท้จริง จึงเป็นการฟ้องข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีอยู่ในสำนวน เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำเบิกความผู้ร่วมกระทำผิดมีน้ำหนักน้อย แม้มีพยานบอกเล่าประกอบก็ไม่ทำให้หลักฐานโจทก์แน่นแฟ้นขึ้น
คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน เป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิด มีน้ำหนักน้อย เมื่อคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ดังซึ่งจะต้องนำพยานบอกเล่ามาฟังประกอบมีน้ำหนักน้อยเสียแล้ว แม้จะนำคำเบิกความของพยานบอกเล่ามาฟังประกอบก็หาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักแน่นแฟ้นขึ้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำเบิกความในชั้นสอบสวนและศาล: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำเบิกความต่อศาลมีเหตุผลน่าเชื่อถือกว่า แม้จะขัดแย้งกับคำให้การเดิม
เมื่อคำเบิกความของจำเลยในการพิจารณาคดีต่อศาลน่าจะเป็นความจริงทั้งจำเลยเบิกความดังกล่าว โจทก์ก็ได้ให้จำเลยดูคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยแล้ว จำเลยได้ยืนยันว่า คำให้การดังกล่าวไม่ตรงกับความจริง ความจริงเป็นดังที่จำเลยเบิกความต่อศาลแม้โจทก์จะมีพนักงานสอบสวนในคดีอาญาดังกล่าวมาเบิกความรับรองว่าจำเลยได้ให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ เมื่อจำเลยได้เบิกความต่อศาลโดยมีเหตุผลประกอบน่าเชื่อว่าเป็นความจริง จึงไม่อาจที่จะรับฟังว่าจำเลยได้เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่น่าเชื่อถือ-คำเบิกความขัดแย้ง-ไม่มีการชี้ตัว-ศาลยกฟ้องคดีอาญา
หลังเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้แจ้งความและมิได้บอกตำหนิรูปพรรณของคนร้ายต่อเจ้าพนักงานตำรวจ หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้แล้ว เจ้าพนักงานตำรวจเอาเสื้อ 3 ตัว ให้ผู้เสียหายดู มีอยู่ตัวหนึ่งเป็นเสื้อลายสก๊อต สีชมพูน้ำเงินเหมือนเสื้อของคนร้ายหลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจได้สอบถามถึงตำหนิรูปพรรณของคนร้ายผู้เสียหายจึงได้บอกว่าคนร้ายคนหนึ่งผิวดำมีรอยสัก ที่แขนและหน้าอกอีกคนผิวขาวมีแผลเป็นที่ริมฝีปากหรือที่เรียกว่าคนปากแหว่ง ตำหนิรูปพรรณคนร้ายและเสื้อของคนร้ายนี้กล่าวอ้างขึ้นหลังจับ คนร้ายทั้งสองได้แล้ว จึงมีน้ำหนักน้อยเพราะง่ายต่อการที่จะอ้าง ขึ้นได้.
of 11