พบผลลัพธ์ทั้งหมด 31 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1022/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนที่ดินพิพาท: เนื้อที่ประมาณการไม่เกินคำขอ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยส่งที่พิพาทคืนในฟ้องกล่าวว่าที่พิพาทเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ 3 งาน เมื่อคู่ความต่างได้รับรองต้องกันว่าที่พิพาทกันนี้ทั้งแปลงและเขตติดต่อทั้ง 4 ด้านก็ตรงกันการที่โจทก์ระบุจำนวนเนื้อที่ของที่พิพาทก็เป็นแต่เพียงประมาณเมื่อจำเลยแพ้คดีจะต้องคืนที่พิพาทให้โจทก์ก็ต้องคืนทั้งแปลง ซึ่งมีเนื้อที่ 9 ไร่ 1 งานไม่เป็นการเกินคำขอของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1795/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนที่ดินเวนคืนตามคำพิพากษา ไม่ถือเป็นการโอนตาม ป.พ.พ. ม.1305
ที่ดินที่ถูกทางราชการเวนคืนไป แล้วต่อมามีคำพิพากษาให้คืนที่ ๆ ถูกเวนคืนแก่เจ้าของ การคืนนั้นไม่ต้องกระทำตาม ป.พ.พ. ม. 1305 เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องการโอนแก่กัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1795/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนที่ดินเวนคืนตามคำพิพากษา ไม่ถือเป็นการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1305
ที่ดินที่ถูกทางราชการเวนคืนไป แล้วต่อมามีคำพิพากษาให้คืนที่ที่ถูกเวนคืนแก่เจ้าของ การคืนนั้นไม่ต้องกระทำตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องการโอนแก่กัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินเมื่อเจ้าของเดิมคืนที่: แม้เช่าก็ไม่มีสิทธิขัดขวาง
เมื่อปรากฏว่าที่นาพิพาทที่จำเลยเช่าทำนั้นอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์และเจ้าของนาได้ยินยอมคืนให้โจทก์แล้วจำเลยผู้เช่าเป้นแต่เพียงผู้ครอบครองแทนเจ้าของ เมื่อเจ้าของยอมคืนไปแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธิหรือหน้าที่อย่างใดที่จะมาขัดขวาง
การครอบครองที่ดินในโฉนดของผู้อื่นเช่นในกรณีนี้ เมื่อผู้ครอบครองคืนที่ให้เจ้าของโฉนด(โจทก์)หรือสละทิ้งที่นั้นแล้วเจ้าของโฉนดในที่ตรงนั้น(โจทก์) ย่อมเข้าครอบครองถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ต่อไปโดยไม่ต้องเปลี่ยนแก้ทางทะเบียนประการใด.
การครอบครองที่ดินในโฉนดของผู้อื่นเช่นในกรณีนี้ เมื่อผู้ครอบครองคืนที่ให้เจ้าของโฉนด(โจทก์)หรือสละทิ้งที่นั้นแล้วเจ้าของโฉนดในที่ตรงนั้น(โจทก์) ย่อมเข้าครอบครองถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ต่อไปโดยไม่ต้องเปลี่ยนแก้ทางทะเบียนประการใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินโฉนด: สิทธิของเจ้าของโฉนดเมื่อผู้เช่าคืนที่ดิน
เมื่อปรากฏว่าที่นาพิพาทที่จำเลยเช่าทำนั้นอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์และเจ้าของนาได้ยินยอมคืนให้โจทก์แล้วจำเลยผู้เช่าเป็นแต่เพียงผู้ครอบครองแทนเจ้าของเมื่อเจ้าของยอมคืนไปแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธิหรือหน้าที่อย่างใดที่จะมาขัดขวาง
การครอบครองที่ดินในโฉนดของผู้อื่นเช่นในกรณีนี้เมื่อผู้ครอบครองคืนที่ให้เจ้าของโฉนด(โจทก์)หรือสละทิ้งที่นั้นแล้วเจ้าของโฉนดในที่ตรงนั้น(โจทก์) ย่อมเข้าครอบครองถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ต่อไปโดยไม่ต้องเปลี่ยนแก้ทางทะเบียนประการใด
การครอบครองที่ดินในโฉนดของผู้อื่นเช่นในกรณีนี้เมื่อผู้ครอบครองคืนที่ให้เจ้าของโฉนด(โจทก์)หรือสละทิ้งที่นั้นแล้วเจ้าของโฉนดในที่ตรงนั้น(โจทก์) ย่อมเข้าครอบครองถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ต่อไปโดยไม่ต้องเปลี่ยนแก้ทางทะเบียนประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายต่อเนื่องจากการคืนที่ดินพิพาท แม้มิได้เสียค่าธรรมเนียมศาลเพิ่มเติม ศาลยังคงสั่งจ่ายได้
โจทก์ฟ้องและเรียกนาคืนและค่าเสียหายเป็นรายปี ตั้งแต่ปีที่ฟ้องจำเลยจนกว่าจะส่งคืน โจทก์เสียค่าธรรมเนียมศาลฉะเพาะค่าเสียหายในปีที่ฟ้องเท่านั้น ส่วนค่าเสียหายรายปีต่อไประหว่างที่ยังไม่ส่งคืนไม่ต้องเสีย เพราะคดีเข้าลักษณะตามที่บทบัญญัติไว้ใน ป.วิ.แพ่งฯ มาตรา 142(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผิดสัญญาซื้อขายคืนที่ดิน: จำเลยอ้างเงื่อนไขเพิ่มเติม ศาลยืนตามสัญญาเดิม
โจทก์จำเลยทำสัญญากันไว้มีข้อความชัดเจนว่า จำเลยยอมคืนที่ดินและห้องเลขที่ 179 ให้แก่เด็กหญิงนงเยาว์ แล้วจำเลยกลับประกาศจะขายฝากทรัพย์รายนี้แก่ผู้อื่น และอ้างว่าจะยอมคืนให้ต่อเมื่อเด็กหญิงนงเยาว์บรรลุนิติภาวะนั้นย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5440/2561
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายฝากที่ดินที่เป็นโมฆะเนื่องจากอำพรางสัญญา และการชำระหนี้ครบถ้วน ทำให้ต้องคืนที่ดินพิพาท
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยทั้งสอง โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกัน และกำหนดเวลาชำระคืนกันไว้ แต่จำเลยทั้งสองมีเงินให้โจทก์กู้ยืมเพียงบางส่วน จึงขอให้โจทก์ลงลายมือชื่อ ในหนังสือมอบอำนาจที่มิได้กรอกข้อความให้จำเลยทั้งสองยึดถือไว้เพื่อทำนิติกรรมกู้ยืมจากบุคคลอื่นมาให้โจทก์ เมื่อครบกำหนดโจทก์ไม่ชำระเงินต้นและกู้ยืมเงินจากจำเลยทั้งสองอีกหลายครั้ง ต่อมาจำเลยทั้งสองนำหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงชื่อไปกรอกข้อความและโอนที่ดินพิพาทตีใช้หนี้แก่จำเลยที่ 1 ภายหลัง โจทก์ทราบการโอน โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงกันว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทมีสิทธิไถ่ถอนที่ดินคืน ภายใน 3 ปี หากไม่ไถ่ถอนถือว่าสละสิทธิและโจทก์จะได้รับเงินคืนจากจำเลยทั้งสองเพิ่มเติมพร้อมดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี แต่หากโจทก์ไถ่ถอนที่ดินพิพาทก่อนครบกำหนด โจทก์ต้องชำระภาษีพร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินที่ยืมไปทั้งหมด จำเลยทั้งสองให้การตอนแรกว่าไม่เคยตกลงทำสัญญากับโจทก์ แต่ตอนท้ายกลับให้การว่า หากฟังว่าจำเลยที่ 2 ต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าว เมื่อโจทก์ชำระเงินไม่ครบจึงเป็นฝ่ายผิดนัด ผิดสัญญาและไม่มีสิทธิมาฟ้องเรียกร้องตามสัญญา เท่ากับจำเลยทั้งสองให้การยอมรับว่ามีการทำสัญญากับโจทก์จริง คำให้การของจำเลยทั้งสองจึงขัดแย้งกันเอง จึงเป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ การที่โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยทั้งสอง แต่ได้เงินไม่ครบตามที่จดทะเบียนจำนองไว้ ทั้งเมื่อจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทเป็นของตนแล้ว วันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 2 ก็ทำสัญญาให้โจทก์ไถ่คืนที่ดินพิพาทได้ นอกจากนี้โจทก์ยังเป็นผู้เก็บค่าเช่าในที่ดินพิพาทมาโดยตลอด แสดงว่าการที่โจทก์โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นเพียงการแสดงเจตนาลวง โดยไม่มีเจตนาผูกพันกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง สัญญาโอนที่ดินพิพาทตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจและสำเนาบันทึกถ้อยคำข้อตกลงเรื่องโอนชำระหนี้จำนอง จึงเป็นการอำพรางสัญญาซึ่งมีข้อตกลงว่าให้ไถ่คืนที่ดินพิพาทได้อันเป็นสัญญาขายฝาก เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายจึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 152 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทเป็นของตนเองและจำเลยที่ 2 ทำสัญญาขายฝากต่างมีมูลหนี้มาจากการกู้ยืมที่จำเลยทั้งสองให้โจทก์กู้ การทำสัญญาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นไปในฐานะส่วนตัวและในฐานะตัวแทนของจำเลยอีกคนหนึ่งด้วย เมื่อสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวต่างเป็นโมฆะ กรณีจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้ เมื่อโจทก์ชำระเงินให้จำเลยที่ 1 จนครบจำนวนที่โจทก์ยืมจากจำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4661/2564
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยมีเจตนาลวงเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายจัดสรรที่ดิน ทำให้สัญญาเป็นโมฆะ และที่ดินต้องคืนแก่ผู้ขาย
โจทก์และจำเลยมีเจตนาซื้อขายที่ดินเนื้อที่เพียง 100 ตารางวา เท่านั้น แต่มีเจตนาลวงซื้อขายที่ดินพิพาทเนื้อที่ 58.2/10 ตารางวา รวมไปด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มีการแบ่งแยกที่ดินตั้งแต่ 10 แปลง ขึ้นไป อันเป็นการจัดสรรที่ดินตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 โดยมีข้อตกลงให้โจทก์ชำระหนี้จำนองในส่วนที่ดินพิพาทและให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนโจทก์เมื่อพ้นกำหนด 3 ปี นิติกรรมการซื้อขายในส่วนที่ดินพิพาทจึงเป็นการแสดงเจตนาลวงโดยโจทก์และจำเลยสมรู้ร่วมกัน ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง จำเลยต้องคืนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้ตามมาตรา 172 วรรคสอง อย่างไรก็ดีกรณีเป็นเรื่องที่โจทก์กระทำการหลีกเลี่ยงกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินโดยจัดสรรที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 การดำเนินการของโจทก์ยังคงต้องด้วยหลักเกณฑ์การจัดสรรที่ดินโดยอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายที่ให้ผู้จัดสรรที่ดินจัดให้มีสาธารณูปโภคขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดินตามแผนผังและโครงการ ที่ดินพิพาทจึงเป็นสาธารณูปโภคตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร และเป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้จัดสรรที่ดินที่จะบำรุงรักษาสาธารณูปโภคดังกล่าวให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นนั้นต่อไปตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 43 อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจเข้าขัดขวางหน้าที่ของโจทก์ดังกล่าว และไม่อาจขับไล่โจทก์กับห้ามโจทก์ยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท โดยให้โจทก์รื้อถอนหรือขนย้ายสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่นำมาติดตั้งในที่ดินเพื่อจัดทำสาธารณูปโภคตามฟ้องแย้งได้ ปัญหาอำนาจฟ้องของจำเลยดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) แต่การกระทำการเพื่อชำระหนี้ของโจทก์ยังถือเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย โจทก์ไม่อาจเรียกคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากจำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 411
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2566
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดใช้เช็คปลอม หลอกลวงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ศาลแก้คำพิพากษาให้คืนที่ดินหรือใช้ราคาแทน
โจทก์ร่วมหลงเชื่อตามที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงจึงไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แม้ผู้รับโอนจะไม่ใช่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้หลอกลวง แต่การที่ ฐ. ได้ไปซึ่งที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์ร่วม จึงเป็นการได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงให้ทำเอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 341 ไม่ใช่เป็นการที่จำเลยที่ 1 ได้ไปซึ่งเงินค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจาก ฐ. จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นของโจทก์ร่วมให้แก่โจทก์ร่วม หากจำเลยที่ 1 คืนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เป็นของโจทก์ร่วมไม่ได้ จำเลยที่ 1 จะต้องใช้ราคาแทนให้แก่โจทก์ร่วม