พบผลลัพธ์ทั้งหมด 28 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของจำเลยต่อการชำระค่าอากรผ่านตัวแทน: กรณีเจ้าหน้าที่ทุจริตหรือไม่ชำระเงิน
จำเลยให้ลูกจ้างไปชำระค่าอากรเพื่อรับสินค้าต่อกรมศุลกากร และได้รับสินค้าไปแล้ว แต่กรมศุลกากรไม่ได้รับชำระค่าอากรจำนวนนั้น ถ้าลูกจ้างของจำเลยได้ชำระค่าอากรแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรเอาเงินนั้นไว้เอง ไม่ส่งให้แก่กรมศุลกากรจำเลยก็ไม่ต้องรับผิดชำระค่าอากรนั้น แต่ถ้าลูกจ้างของจำเลยไม่ได้ชำระเงินนั้นให้แก่เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากร แม้จะเป็นโดยเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรร่วมทุจริตด้วย ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิด เพราะจำเลยต้องรับผิดชอบในการกระทำของลูกจ้างซึ่งเป็นตัวแทนที่จำเลยใช้ในการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางแพ่งจากการชำระค่าอากรผ่านตัวแทน: กรณีเงินค่าอากรถูกยักยอกหรือไม่ได้ชำระ
จำเลยให้ลูกจ้างไปชำระค่าอากรเพื่อรับสินค้าต่อกรมศุลกากรและได้รับสินค้าไปแล้วแต่กรมศุลกากรไม่ได้รับชำระค่าอากรจำนวนนั้นค่าลูกจ้างของจำเลยได้ชำระค่าอากรแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรเอาเงินนั้นไว้เอง ไม่ส่งให้แก่กรมศุลกากรจำเลยก็ไม่ต้องรับผิดชำระค่าอากรนั้น แต่ถ้าลูกจ้างของจำเลยไม่ได้ชำระเงินนั้นให้แก่เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากร แม้จะเป็นโดยเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรร่วมทุจริตด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิด เพราะจำเลยต้องรับผิดชอบในการกระทำของลูกจ้างซึ่งเป็นตัวแทนที่จำเลยใช้ในการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของตัวแทนในการชำระหนี้ค่าอากร: จำเลยต้องรับผิดหากตัวแทนไม่ได้ชำระเงิน แม้เจ้าหน้าที่ทุจริต
จำเลยให้ลูกจ้างไปชำระค่าอากรเพื่อรับสินค้าต่อกรมศุลกากร และได้รับสินค้าไปแล้ว. แต่กรมศุลกากรไม่ได้รับชำระค่าอากรจำนวนนั้น. ถ้าลูกจ้างของจำเลยได้ชำระค่าอากรแล้ว. แต่เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรเอาเงินนั้นไว้เอง ไม่ส่งให้แก่กรมศุลกากร.จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดชำระค่าอากรนั้น. แต่ถ้าลูกจ้างของจำเลยไม่ได้ชำระเงินนั้นให้แก่เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากร. แม้จะเป็นโดยเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรร่วมทุจริตด้วย. ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิด. เพราะจำเลยต้องรับผิดชอบในการกระทำของลูกจ้างซึ่งเป็นตัวแทนที่จำเลยใช้ในการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 220.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12464/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณค่าปรับทางอาญาในความผิดศุลกากร: ราคาของและค่าอากรที่แท้จริง
พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 บัญญัติว่า "สำหรับความผิดครั้งหนึ่งๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว" คำว่า "ราคาของ" หมายความถึง ราคาของที่แท้จริงไม่ใช่ราคาของที่สำแดงไว้ขาด ส่วนคำว่า "ค่าอากร" ก็มิได้จำกัดไว้ว่าให้คิดเฉพาะค่าอากรที่ชำระขาดไป จึงหมายถึงค่าอากรตามอัตราที่ต้องชำระโดยไม่คำนึงว่าได้ชำระค่าอากรไปแล้วหรือไม่เพียงใด เพราะเป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติให้นำราคาของกับค่าอากรมาเป็นหลักในการกำหนดอัตราโทษทางอาญาคือโทษปรับ มิใช่เพื่อให้ผู้กระทำผิดชำระค่าอากร ซึ่งเป็นเรื่องในทางแพ่งแต่อย่างใด จึงจะแปลว่ากฎหมายมุ่งให้คิดเฉพาะค่าของกับค่าอากรที่ยังขาดอยู่มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18056/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเรียกเก็บค่าอากรจากผู้ประกอบการคลังสินค้าทัณฑ์บน กรณีเก็บของเกินกำหนดตามสัญญาและกฎหมาย
มาตรา 8 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากรฯ บัญญัติให้อำนาจอธิบดีเรียกประกันจากเจ้าของหรือผู้ปกครองคลังสินค้าทัณฑ์บน เพื่อประกันค่าภาษีอากรหรือค่าชดใช้อย่างอื่น ดังนั้น จำเลยจึงมีอำนาจเรียกให้โจทก์ในฐานะผู้ประกอบกิจการคลังสินค้าทัณฑ์บนทำข้อตกลงหรือสัญญาประกันตามบทบัญญัตินี้ได้ ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย ข้อ 1 ระบุว่า โจทก์ผู้ให้สัญญาจะปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง ประกาศของกรมศุลกากร บรรดาที่มีบังคับใช้อยู่แล้วในขณะทำสัญญาประกันทัณฑ์บนนี้ หรือที่จะมีขึ้นใช้บังคับต่อไป ประกาศและคำสั่งทั่วไปกรมศุลกากรที่บังคับใช้อยู่แล้วจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา ดังนั้น แม้โจทก์จะเป็นเพียงผู้ประกอบการคลังสินค้าทัณฑ์บน มิได้เป็นผู้นำสินค้าพิพาทเข้ามาในราชอาณาจักร แต่หากโจทก์เก็บของในคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปเกินกำหนดที่จำเลยอนุญาต จำเลยมีอำนาจเรียกเก็บค่าอากรเป็นของใช้ภายในประเทศจากโจทก์ โดยไม่ต้องแจ้งให้ผู้นำของเข้าทราบก่อนตามสัญญาประกันและทัณฑ์บน คลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปได้ เพราะมิใช่เรียกเก็บจากโจทก์ในฐานะผู้นำเข้าหรือเจ้าของสินค้าแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8123/2553 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำว่า 'ค่าอากร' ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร: ไม่รวมภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีมหาดไทย
คำว่า "ค่าอากร" ตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 หมายถึงค่าอากรในทางศุลกากรเท่านั้น หาหมายรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นภาษีอากรฝ่ายสรรพากร ภาษีสรรพสามิต และภาษีมหาดไทยด้วยไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองนำค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีมหาดไทยสำหรับรถยนต์ของกลางมารวมเป็นค่าอากรอีกจำนวนหนึ่งนั้นไม่ถูกต้อง ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6950/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ค่าอากรโดยผู้ค้ำประกันและการฟ้องเรียกหนี้ส่วนที่ขาดจากลูกหนี้ชั้นต้น
ธนาคารผู้ค้ำประกันได้ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันให้กรมศุลกากรโจทก์ทำให้หนี้ค่าอากรและเงินเพิ่มระงับลงบางส่วน แม้ธนาคารจะรับช่วงสิทธิของโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 693 วรรคสอง ประกอบมาตรา 229 (3) แต่เมื่อเงินที่ธนาคารชำระยังไม่คุ้มค่าอากรและเงินเพิ่มที่จำเลยต้องชำระ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าอากรและเงินเพิ่มส่วนที่ขาดจากจำเลยในฐานะลูกหนี้ชั้นต้นได้
โจทก์เรียกให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันล่าช้า แต่เมื่อ พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พุทธศักราช 2482 มาตรา 19 ตรี มิได้กำหนดอายุความการใช้สิทธิเรียกให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันการไม่ชำระค่าอากรและเงินเพิ่มของผู้นำเข้าตามมาตรา 19 ทวิ จึงมึอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31
โจทก์เรียกให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันล่าช้า แต่เมื่อ พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พุทธศักราช 2482 มาตรา 19 ตรี มิได้กำหนดอายุความการใช้สิทธิเรียกให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันการไม่ชำระค่าอากรและเงินเพิ่มของผู้นำเข้าตามมาตรา 19 ทวิ จึงมึอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1047/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคืนเงินค่าอากร, การวางประกันค่าอากรตาม พ.ร.บ.ศุลกากร, และการสำแดงเท็จ
ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ฯ มาตรา 40 และ 112 ต่างมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการวางเงินประกันค่าอากร แต่มาตรา 112 เป็นการวางเงินประกันกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่ามีปัญหาเกี่ยวกับจำนวนค่าอากรสำหรับของที่กำลังผ่านศุลกากร แตกต่างจากมาตรา 40 ที่เป็นการวางประกันกรณีที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับจำนวนค่าอากรสำหรับของที่กำลังผ่านศุลกากร เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าโจทก์สำแดงเท็จและโจทก์ได้วางเงินประกันตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ กรณีจึงเป็นการวางเงินประกันที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยเห็นว่ามีปัญหาเกี่ยวกับจำนวนค่าอากรสำหรับของที่กำลังผ่านศุลกากรตามมาตรา 112 เมื่อมีการคืนเงินประกัน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามมาตรา 112 จัตวา วรรคสี่
โจทก์ได้ชำระค่าอากรเฉพาะตามจำนวนที่สำแดงไว้เท่านั้น ส่วนจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกให้โจทก์ชำระเพิ่มโจทก์ได้วางเงินประกันไว้ เงินประกันดังกล่าวมิใช่เงินอากรที่โจทก์ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริง จึงไม่อยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี นับจากวันที่นำของเข้าตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ฯ มาตรา 10 วรรคท้าย เมื่อไม่มีกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ประกอบมาตรา 193/12
โจทก์ได้ชำระค่าอากรเฉพาะตามจำนวนที่สำแดงไว้เท่านั้น ส่วนจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกให้โจทก์ชำระเพิ่มโจทก์ได้วางเงินประกันไว้ เงินประกันดังกล่าวมิใช่เงินอากรที่โจทก์ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริง จึงไม่อยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี นับจากวันที่นำของเข้าตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ฯ มาตรา 10 วรรคท้าย เมื่อไม่มีกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ประกอบมาตรา 193/12